พระคุณของพระธรรม
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๗๒๕
บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
พระคุณของพระธรรม
จะเห็น "พระคุณของพระธรรม" ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ถ้าพระองค์ไม่ทรงแสดงสภาพธรรมพร้อมด้วยเหตุและผลอย่างละเอียดแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายย่อมไม่สามารถพ้นไปจากความเห็นผิด และความไม่รู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ โดยเฉพาะเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว และต่อไปก็จะนานๆ ต่อไปอีก ถ้าท่านผู้ใดจะไม่ศึกษาธรรม ไม่ฟังธรรมแต่คิดว่าเข้าใจธรรมแล้ว ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประมาท เพราะย่อมมีความเข้าใจผิดได้ แต่ว่าถ้าศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมอยู่เสมอ ก็ย่อมมีความรู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏเพิ่มขึ้น และธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้ที่ได้รับฟังได้ ซึ่งทุกท่านก็จะพิสูจน์ได้กับตัวของท่านเองว่า อย่างน้อยที่สุด ท่านก็เปลี่ยนจากความไม่รู้อะไร เป็น "รู้ขึ้น" และถ้าได้ศึกษาธรรมต่อไปกุศลประการอื่นก็จะเพิ่มพูนขึ้น แล้วท่านจะเปรียบเทียบได้จริงๆ ว่า พระธรรมเปลี่ยนจากอกุศลซึ่งเคยมีมาก ให้ลดน้อยลง แล้วก็เพิ่มพูนทางฝ่ายกุศลขึ้น
ขอกล่าวถึง ชีวิตของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่า ธรรมได้เปลี่ยนพระองค์จากการเป็นพระเจ้าอโศกมหาราชผู้ดุร้ายเป็น ธัมมาโศกราช คือเป็นมหาราชผู้ทรงธรรม
ข้อความในสมันตปาสาทิกา มีว่า เมื่อพระเจ้าอโศกทอดพระเนตรเห็นอาการอันสงบ น่าเลื่อมใสของนิโครธสามเณรแล้ว ก็คิดว่า สามเณรนี้คงบรรลุโลกุตตรธรรม
นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้พระเจ้าอโศกเองก็ทรงเป็นผู้ที่ใคร่ในการอบรมปัญญา เพราะฉะนั้น ก็ทรงแสวงหาผู้ที่ควรแก่การเลื่อมใส คือ ผู้ที่บรรลุโลกุตตรธรรม ซึ่งตามความเป็นจริง นิโครธสามเณรก็ได้บรรลุอรหัตในวันบรรพชา ขณะที่ท่านปลงเกศาเสร็จ พระเจ้าอโศกจึงทรงส่งอำมาตย์ทั้งหลาย ไปนิมนต์สามเณร มารับภัตตาหารในพระราชวัง นี่ก็เป็นการแสวงหาบุคคลที่ประกอบด้วยปัญญา
เมื่ออำมาตย์เหล่านั้นยังช้าอยู่ ก็ได้ทรงส่งอำมาตย์ไปอีก ๒-๓ คน รับสั่งขอให้สามเณรมาเร็วๆ เถอะ ซึ่งนิโครธสามเณรก็เดินไปตามธรรมดาของตน แต่ว่าในความรู้สึกของพระเจ้าอโศกมหาราช ก็ไม่ทันพระทัยของพระองค์ที่จะใคร่ให้นิโครธสามเณร ไปรับภัตตาหารโดยเร็ว
นิโครธสามเณรเมื่อได้เข้าไปในพระราชวังแล้ว พระเจ้าอโศกก็รับสั่งว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรู้อาสนะอันสมควรแล้วนั่งเถิด” ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกนักพรตต่างๆ ซึ่งมารับถวายภัตตาหารในพระราชวังนั้น เวลาที่พระเจ้าอโศกรับสั่งว่า “ขอพระคุณเจ้า จงนั่งบนอาสนะอันสมควรแก่ตนเถิด” บางพวกก็นั่งบนพระเก้าอี้ แล้วบางพวกก็นั่งบนแผ่นกระดาน นี่เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ ทุกยุคทุกสมัย ที่แสดงให้เห็นอัธยาศัยที่ต่างๆ กันตามการสะสม แต่เมื่อพระเจ้าอโศกรับสั่งกับนิโครธสามเณรว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าจงรู้อาสนะอันสมควรแล้วนั่งเถิด”
นิโครธสามเณรเหลียวข้างโน้น ข้างนี้ คิดว่าไม่มีภิกษุอื่นๆ จึงเข้าไปใกล้พระราชบัลลังก์ มีเศวตรฉัตรอันยกขึ้นไว้ ได้แสดงอาการแก่พระราชา เพื่อประโยชน์ในการถือบาตร พระราชาทอดพระเนตรเห็นสามเณรนั้นเข้าไปใกล้พระราชบัลลังก์ ทรงพระดำริว่า สามเณรนี้จักเป็นเจ้าของเรือนนี้ เวลานี้ วันนี้เอง สามเณรถวายบาตรไว้ในพระหัตถ์ของพระราชา แล้วขึ้นพระราชบัลลังก์ นั่งแล้วพระเจ้าอโศกทรงน้อมถวายข้าวยาคู ของขบเคี้ยว และภัตตาหารทุกชนิดที่เขาถวายพระองค์ สามเณรรับแต่เพียงพอยังอัตภาพให้เป็นไปแก่ตนเท่านั้น
ในเวลาเสร็จภัตกิจ พระเจ้าอโศกมีพระราชดำรัส ขอให้นิโครธสามเณรแสดงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคได้ประทานไว้แก่พุทธบริษัท ซึ่งนิโครธสามเณรก็ได้กล่าวอัปปมาทวรรคในพระธรรมบท อันเหมาะแก่พระราชา เพื่อประโยชน์แก่พระราชา พระราชาทรงเลื่อมใส แม้นิโครธสามเณรก็ได้ให้พระราชาพร้อมทั้งพระราชบริษัท ดำรงอยู่ในสรณะ ๓ และศีล ๕ พระเจ้าอโศกทรงรับสั่งให้สร้างมหาวิหาร ชื่อว่า "อโศการาม" และได้ทรงสร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ประกอบเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ องค์ ซึ่งก็เสร็จภายในเวลา ๓ ปีและพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ ก็ได้ทำสังคายนาครั้งที่ ๓ โดยเลือกพระภิกษุทั้งหลาย ผู้ทรงพระปริยัติ คือ พระไตรปิฎก มีปฏิสัมภิทาแตกฉาน ต่างทรงคุณวิเศษ มีได้วิชชา ๓ เป็นต้น จำนวน ๑.๐๐๐ รูป ในจำนวนพระภิกษุ ๖,๐๐๐,๐๐๐ รูป
สังคีติ คือ สังคายนาครั้งนี้ กระทำ ๙ เดือน ที่อโศการามในเมืองปาฏลีบุตร ซึ่งท่านผู้ฟังก็จะเห็นได้ว่ามีสถานที่หลายแห่งที่ควรจะไปนมัสการ และน้อมระลึกถึงคุณผู้ที่ได้กระทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ก่อนที่พระมหินทรเถระจะไปเผยแพร่พระธรรมที่ลังกา ก็ได้ไปอยู่ที่อโศการาม และก่อนที่ไปสู่ลังกา ก็ได้จาริกไปทางทักขิณาคีรีชนบท อ้อมไปทางทักขิณีชนบท เยี่ยมญาติทั้งหลาย ๖ เดือน และได้เยี่ยมลาพระมารดาที่กรุงอุชเชนี
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใส และแสดงให้เห็นถึงอานุภาพของพระธรรม ซึ่งสามารถจะเปลี่ยนบุคคล จากความเป็นบุคคลที่เหี้ยมโหดดุร้าย ให้เป็นผู้ที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งใหญ่ ถึงอย่างนั้นพระเจ้าอโศกมหาราชก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่ว่าจะรู้แจ้งได้โดยง่าย ถึงแม้ว่าจะได้สร้างมหาวิหารชื่ออโศการาม สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ แห่ง และได้ทรงส่งพระเถระไปเผยแพร่พระธรรม แต่ว่าถ้าสะสมบารมีมายังไม่พร้อมที่จะบรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แต่ก็ได้เปลี่ยนจากความเป็นบุคคลผู้ดุร้าย ผู้อธรรม มาเป็น ผู้ทรงธรรม เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังควรจะติดตามรับฟัง ศึกษาพระธรรมต่อไป เพื่อที่จะได้เจริญกุศลทุกประการยิ่งขึ้น
(กุสินารา สถานที่ทรงดับขันธปรินิพพาน)
พระผู้มีพระภาคเจ้าตร้สว่า
[๒๕๙] สาวัตถีนิทาน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชาผู้น้อย (ชั้นต่ำ) เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นผู้ตามเสด็จพระเจ้าจักรพรรดิ พระเจ้าจักรพรรดิบัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่าพระราชาผู้น้อยเหล่านั้น แม้ฉันใด
กุศลธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งหมดนั้น มีความไม่ประมาทเป็นมูลรวมลงในความไม่ประมาท ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวว่าเลิศกว่ากุศลธรรมเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้ไม่ประมาท พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ จักกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘.
จบกุฏฐราชสูตรที่ ๑๐
๑๐. กุฏฐราชสูตรว่าด้วยพระราชาผู้เลิศ
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๓๕
ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์
ถ้าท่านผู้ใดจะไม่ศึกษาธรรม ไม่ฟังธรรมแต่คิดว่าเข้าใจธรรมแล้ว ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่ประมาท เพราะย่อมมีความเข้าใจผิดได้ แต่ว่าถ้าศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมอยู่เสมอ ก็ย่อมมีความรู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏเพิ่มขึ้น และธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้ ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของผู้ที่ได้รับฟังได้ ซึ่งทุกท่านก็จะพิสูจน์ได้กับตัวของท่านเองว่า อย่างน้อยที่สุด ท่านก็เปลี่ยนจากความ ไม่รู้อะไร เป็น "รู้ขึ้น" และถ้าได้ศึกษาธรรมต่อไปกุศลประการอื่นก็จะเพิ่มพูนขึ้น แล้วท่านจะเปรียบเทียบได้จริงๆ ว่า พระธรรมเปลี่ยนจากอกุศลซึ่งเคยมีมาก ให้ลดน้อยลง แล้วก็เพิ่มพูนทางฝ่ายกุศลขึ้น
ขออนุโมทนาค่ะ