ปัญญารู้ กับสภาพรู้
ปัญญาเป็นเจตสิก ขณะที่บัญญัติว่า ปัญญารู้ คือ ขณะที่จิตประกอบด้วยปัญญาเจตสิกใช่หรือไม่
ที่กล่าวว่าจิตคือสภาพรู้ และจิตรู้ได้ที่ละอย่าง จิตแต่ละดวงประกอบด้วยเจตสิกมากดวงน้อยดวงบ้างแล้วแต่ปัจจัย และจิตดวงนั้นที่ว่ามีสภาพรู้นั้นรู้อะไร ถ้ากล่าวว่ารู้นามหรือรูป ในเมื่อจิตรู้นามหรือรูปเสียแล้วจะรู้ได้ไงว่าขณะนั้นประกอบด้วยสติ ประกอบด้วยปัญญา ฯ เพราะจิตรู้ได้ทีละอย่าง หรือรู้คนละขณะ ถ้ารู้คนละขณะจะกล่าวว่าเป็นปัจจุบันได้อย่างไร
หรือว่าขณะรู้ 1 ขณะ สามารถรู้นามหรือรูปและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในเวลาเดียวกัน
ถ้าผมกล่าวเปรียบเช่นนี้ถูกหรือไม่ ให้รูปหรือนามเป็นสีแดง ปัญญาเจตสิกเป็นสีเขียว สติและเจตสิกอื่นๆ ก็เป็นสีต่างๆ กัน จิตแต่ละดวงคือเอาสีเหล่านั้นมาผสมกัน ในภาพความเป็นจริงไม่อาจแยกแยะได้เพราะรวมเป็น 1 คือความเป็นจิตดวงนั้นๆ แต่ที่กล่าวแยกแยะเพราะช่วยเป็นปัจจัยเท่านั้น
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ถาม ปัญญาเป็นเจตสิก ขณะที่บัญญัติว่า ปัญญารู้ คือ ขณะที่จิตประกอบด้วยปัญญาเจตสิกใช่หรือไม่
ตอบ จิตเมื่อเกิดขึ้นย่อมมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเสมอ จิตเป็นใหญ่ในการรู้ แต่ไม่ใช่รู้ตาม ความเป็นจริง ปัญญาไม่เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์แต่รู้ในที่นี้ หมายถึงรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นต้น ดังนั้นจิตทำหน้าที่รู้เท่านั้น แต่ไม่ใช่รู้ตามความเป็นจริงเหมือนปัญญาครับ แต่เกิดร่วมกันครับ
ขออนุโมทนา
ถาม ที่กล่าวว่าจิตคือสภาพรู้ และจิตรู้ได้ที่ละอย่าง จิตแต่ละดวงประกอบด้วยเจตสิกมากดวงน้อยดวงบ้างแล้วแต่ปัจจัย และจิตดวงนั้นที่ว่ามีสภาพรู้นั้นรู้อะไร ถ้ากล่าวว่ารู้นามหรือรูป ในเมื่อจิตรู้นามหรือรูปเสียแล้วจะรู้ได้ไงว่าขณะนั้นประกอบด้วยสติ ประกอบด้วยปัญญา ฯ เพราะจิตรู้ได้ทีละอย่าง หรือรู้คนละขณะ ถ้ารู้คนละขณะจะกล่าวว่าเป็นปัจจุบันได้อย่างไร จิตไม่ได้รู้ว่ามีสติและมีปัญญา จิตทำหน้าที่เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์เท่านั้น
ตอบ ส่วนธรรมที่รู้ตามความเป็นจริงคือปัญญา ว่ามีสติและปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่รู้คนละขณะ แต่เป็นปัจจุบัน เพราะปัจจุบันมีหลายความหมาย ในที่นี้หมายถึงปัจจุบันสันตติ เพราะสืบต่อทันที
ขออนุโมทนา
ถาม หรือว่าขณะรู้ 1 ขณะ สามารถรู้นามหรือรูปและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยในเวลาเดียวกัน ถ้าผมกล่าวเปรียบเช่นนี้ถูกหรือไม่ ให้รูปหรือนามเป็นสีแดง ปัญญาเจตสิกเป็นสีเขียว สติและเจตสิกอื่นๆ ก็เป็นสีต่างๆ กัน จิตแต่ละดวงคือเอาสีเหล่านั้นมาผสมกัน ในภาพความเป็นจริงไม่อาจแยกแยะได้เพราะรวมเป็น 1 คือความเป็นจิตดวงนั้นๆ แต่ที่กล่าวแยกแยะเพราะช่วยเป็นปัจจัยเท่านั้น
ตอบ รู้รวมกันไม่ได้ แต่การอบรมปัญญาที่สำคัญคือไม่ใช่การคิดนึกแต่ขณะใดที่สภาพธรรมใดปรากฎ หากสติเกิดก็รู้สภาพธรรมนั้นนั่นเอง ไม่มีกำหนดว่าจะรู้อะไร ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การอบรมสติปัฏฐาน สภาพธรรมใดปรากฎ (ทีละอย่าง) ก็รู้สภาพธรรมนั้นครับ
ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมจะทำให้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง สำหรับการฟัง การศึกษานั้น ไม่พ้นไปจากศึกษาในสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นสัจจธรรม จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้แจ้งอารมณ์ (อารมณ์ คือ สิ่งที่ถูกจิตรู้) เจตสิกประเภทต่างๆ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต ปรุงแต่งจิตให้เป็นกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นต้น ก็เป็นสิ่งที่มีจริง และรูปธรรมทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่มีจริง ควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
เนื่องจากว่ายังเต็มไปด้วยอวิชชา ความไม่รู้ จึงทำให้หลงยึดถือผิดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา แท้ที่จริงไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แล้วก็ดับไป ธรรมจึงไม่ได้อยู่ในตำรา แต่ว่ามีจริงอยู่ทุกขณะ เพราะว่าทุกขณะไม่พ้นไปจากสภาพธรรมเลย การศึกษาไม่ใช่ให้ไปติดที่คำหรือที่ชื่อ แต่ศึกษาเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษา ปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูกก็จะเจริญขึ้นไปตามลำดับ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ