เรื่องราว...มาจากไหน ?

 
พุทธรักษา
วันที่  18 ธ.ค. 2551
หมายเลข  10711
อ่าน  1,337

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรม ณ ถนนสุสานประตูหายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากร พ.ศ. ๒๕๔๔

ท่านผู้ฟัง ผมได้ยินมาว่า "ความคิดนึก" เป็น "ธรรมะ" ที่เกิดกับเราในชีวิตประจำวันนี้ มีแต่ความคิดนึกตลอดเวลาอยากจะศึกษาให้เข้าใจว่า ความคิดนึก เป็น ธรรมะ อย่างไรครับ

ท่านอาจารย์ ทางเดียว คือ ฟังพระธรรมให้เข้าใจธรรมะ และก็เป็นธรรมะทั้งนั้นกำลังคิด ก็เป็นธรรมะ ฟังจนกว่าจะเข้าใจว่าสภาพคิด ก็เป็นธรรมะอย่างหนึ่งธรรมะ หมายถึง สิ่งที่มีจริง คิด เป็นธรรมะหรือเปล่า รูปธรรม คิดได้ไหม

ท่านผู้ฟัง รูปธรรม คิดไม่ได้ครับ

ท่านอาจารย์ ความคิด ไม่มีรูปร่างเลย แต่เป็นธาตุที่รู้คำคิดเมื่อไร ก็รู้คำเมื่อนั้น ขณะที่คิดเรื่องยาวๆ นี้ คิดทีละคำ รู้ทีละคำจิตคิดเกิดขึ้น รู้คำทีละคำ แสดงว่า สภาพจิตเกิดแล้วดับคิดคำหนึ่ง แล้วดับ แล้วก็ คิดอีกคำหนึ่ง เกิดดับสืบต่อกัน อย่างรวดเร็ว

ทุกครั้งที่คิด คือ จิตเกิดขึ้น นึกถึงเรื่องราวแต่ก่อนที่จะเป็นเรื่องยาวๆ ก็ต้องเป็นคำทีละคำๆ เพราะฉะนั้น ก็เป็นความรวดเร็วที่ปิดบังไม่ให้รู้ การเกิดดับของจิตว่า แท้จริงแล้ว เรื่องยาวๆ นี้ ก็เกิดเพราะจิตเกิดขึ้นคิด ทีละคำ

ท่านผู้ฟัง คิดทีละคำ คือคิด เป็นบัญญัติ หรือ ปรมัตถ์

ท่านอาจารย์ "คำทีละคำ" มีจริงหรือเปล่า หรือว่ามี เมื่อจิตคิด เท่านั้นเอง "คำทีละคำ" มีลักษณะ เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง...ไหม

ท่านผู้ฟัง ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "คำแต่ละคำ" ที่จิตคิด ไม่ใช่ปรมัตถธรรม เพราะไม่มีลักษณะ ไม่มีสภาวะ สิ่งใดไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็น บัญญัติเป็นเรื่องของเสียง สูงๆ ต่ำๆ ที่ (สัญญาเจตสิก) ทรงจำไว้ว่า หมายความว่าอย่างนั้นๆ แล้วแต่ว่าจะเป็นภาษาอะไรทุกครั้ง ไม่ว่าจะคิด เรื่องราวอะไรเรื่องราวนั้น เป็นบัญญัติทั้งหมด เพราะเรื่องราว ไม่มีลักษณะที่เป็นปรมัตถ์

แต่ความทรงจำ และ การรู้ความหมายนั้นมีจริง จึงจำได้ในสิ่งที่คิดเมื่อจิตได้ยินเกิด แล้วจิตคิดนึกเกิดต่อก็เข้าใจความหมาย ตามคำที่เกิดจากเสียงนั้นๆ เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย เห็นก็เป็นจิต ได้ยินก็เป็นจิต ฯลฯ คิดนึกก็เป็นจิตจิตเกิดดับสืบต่อ ไม่ขาดสายตลอดชีวิตตลอดชีวิต ก็คือจิต

สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้ทางใดทางหนึ่งก็เพราะมีจิต และเจตสิกประเภทต่างๆ ทำกิจหน้าทีของตนๆ เข้าใจอย่างนี้ จะทราบว่า "ไม่ใช่เรา" แต่เพราะเป็นจิต เจตสิกประเภทต่างๆ รู้สิ่งที่ปรากฏ และนามธาตุ ก็ไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้นปรากฏให้รู้เมื่อเกิด เกิดแล้ว ก็ดับไปทันทีมีการเกิดดับสืบต่อกันไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต ตามเหตุปัจจัย

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
Komsan
วันที่ 18 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เมตตา
วันที่ 18 ธ.ค. 2551

สิ่งต่างๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้ทางใดทางหนึ่งก็เพราะมีจิต และเจตสิกประเภทต่างๆ ทำกิจหน้าทีของตนๆ เข้าใจอย่างนี้ จะทราบว่า "ไม่ใช่เรา" แต่เพราะเป็นจิต เจตสิกประเภทต่างๆ รู้สิ่งที่ปรากฏ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
choonj
วันที่ 19 ธ.ค. 2551

เรื่องราวมาจาก จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เมื่อจิตเกิดก็ต้องมีอารมณ์เกิดด้วย จิตเกิดดับเร็วมาก อารมณ์ก็ต้องเกิดดับเร็วมากเช่นกัน เมื่ออารมณ์เกิดดับเรียงหรือสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ทำให้รู้ว่าเป็นเรื่องราว ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 19 ธ.ค. 2551
เรื่องราวทั้งหมดมาจากปรมัตถธรรมสิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูปเพราะมีรูปจึงบัญญัติชื่อต่างๆ ค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
suwit02
วันที่ 19 ธ.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
kulwilai
วันที่ 19 ธ.ค. 2551

ทุกครั้งที่คิด คือ จิตเกิดขึ้น นึกถึงเรื่องราวแต่ก่อนที่จะเป็นเรื่องยาวๆ ก็ต้องเป็นคำทีละคำๆ เพราะฉะนั้น "คำแต่ละคำ" ที่จิตคิด ไม่ใช่ปรมัตถธรรมเพราะไม่มีลักษณะ ไม่มีสภาวะ.สิ่งใดไม่ใช่ปรมัตถธรรม เป็น บัญญัติ ทุกครั้ง ไม่ว่าจะคิด เรื่องราวอะไรเรื่องราวนั้น เป็นบัญญัติทั้งหมด

เพราะเรื่องราว ไม่มีลักษณะที่เป็นปรมัตถ์ แต่ความทรงจำ และ การรู้ความหมายนั้นมีจริง จึงจำได้ในสิ่งที่คิดเมื่อจิตได้ยินเกิดแล้ว จิตคิดนึกเกิดต่อก็เข้าใจความหมาย ตามคำที่เกิดจากเสียงนั้นๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ajarnkruo
วันที่ 19 ธ.ค. 2551

ถ้าไม่มีธรรมะ ชื่อหรือเรื่องราวต่างๆ ก็จะไม่มี

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เซจาน้อย
วันที่ 21 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
opanayigo
วันที่ 21 ธ.ค. 2551

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pornpaon
วันที่ 9 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ