ยกประเด็นมาถามครับ - วิถีจิตทางปัญจทวารไม่รู้นามธรรมหรือ
ขอยกคำกล่าวของผู้ร่วมสนทนาธรรมมาตั้งกระทู้ "จริงอยู่ทางปัญจทวารมีทั้งรูปและนาม แต่อารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวารต้องรู้เพียงรูปธรรมเท่านั้น รู้นามธรรมไม่ได้ การจะรู้นามธรรมเป็นวิถีจิตทางมโนทวารวาระหลังๆ อารมณ์ทางปัญจทวารต้องเป็นรูปธรรมเท่านั้น แต่สภาพรู้อารมณ์เป็นนามแต่นามไม่ได้เป็นอารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวาร สำหรับวิถีจิตทางมโนทวารรู้ได้ทุกอย่าง คือทั้งรูป นาม และบัญญัติ
ถามว่า วิถีจิตทางปัญจทวารไม่รู้นามธรรมหรือ ครับ
วิถีจิตทางปัญจทวารมี ๗ วิถี วิถีจิตที่ ๑ คืออาวัชชนวิถี ได้แก่ ปัญจทวารวัชชนจิต วิถีจิตที่ ๒ คือทวิปัญจวิญญาณจิต วิถีจิตที่ ๓ คือ สัมปฏิจฉันนจิต วิถีจิตที่ ๔ คือสันตีรณจิต พิจารณาอารมณ์ วิถีจิตที่ ๕ คือโวฏฐัพพนจิต วิถีจิตที่ ๖ คือชวนวิถีจิต วิถีจิตที่ ๗ คือตทาลัมพนวิถี
เพราะว่าจิตรู้อารมณ์ได้ทีละอารมณ์ครับ จิต ๑ ดวงจะรู้สองอารมณ์ในขณะหนึ่งๆ ไม่ได้ วิถีจิตทางทวารต่างๆ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้โดยละเอียด ถ้าหากเราได้ศึกษาตาม ก็อาจที่จะพอตรองตามได้ว่า ไม่มีปนกันเลยและไม่พร้อมกันด้วย อารมณ์ที่จิตแต่ละวิถีรู้ก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียดพิสดาร ที่ผู้ไม่ประจักษ์ไม่สามารถจะแสดงได้ เพราะพ้นจากการตรึกโดยสิ้นเชิง จะคิดเท่าไร ก็คิดไม่ถึงว่าธรรมะจะลึกซึ้งเกินหยั่งรู้ได้ถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ดี พระพุทธประสงค์ที่ทรงแสดง ไม่ใช่เพื่อให้เราไปนั่งคิดสงสัยเลยครับ ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้น ทรงแสดงเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นถึงความเป็นธรรมะที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ในแต่ละขณะจิตที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไปในเวลาอันแสนสั้น ที่เหล่าสัตว์ผู้ที่ไม่อาจจะตรัสรู้เอง ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ เมื่อไม่รู้จึงเวียนว่ายไปในวัฏฏะไม่สามารถไถ่ถอนความเห็นผิดว่าเป็นเราเป็นตัวตนออกไปได้ พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อให้เหล่าสัตว์ได้มีโอกาสอบรมเจริญปัญญาเพื่อที่จะได้รู้ถึงความเป็นทุกข์ ความไม่เที่ยงและความเป็นอนัตตาของสิ่งที่เป็นความจริง ที่เป็นสัจจธรรม เพื่อที่จะได้เจริญหนทางที่จะไปสู่การดับกิเลสเป็นสมุจเฉทครับ
ก็เลยถือโอกาสขอเรียนถามคุณ จำแนกไว้ดีจ๊ะ ว่าเหตุใดจึงสงสัยว่า ทำไมวิถีจิตทางปัญจทวารไม่รู้นามธรรมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ สำหรับจิตนั้น เมื่อจำแนกเป็นประเภทใหญ่มี ๒ ประเภท คือจิตที่เป็นวิถีจิต หมายถึงจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยอาศัยทวารหนึ่งทวารใดในหกทวาร และจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต (วิถีมุตตจิต) เป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์โดยไม่ต้องอาศัยทวารใดๆ เลยได้แก่ ปฏิสนธิจิต ภวังคจิต และจุติจิตเท่านั้น วิถีจิตทางปัญจทวาร (คือ ทวารตา หู จมูก ลิ้น กาย) สิ่งที่จิตรู้ทางปัญจทวารเป็นรูปธรรมเท่านั้น กล่าวคือ อารมณ์ทางตา เป็นสี อารมณ์ทางหู คือเสียง อารมณ์ทางจมูก คือกลิ่น อารมณ์ทางลิ้น คือ รส อารมณ์ทางกาย คือธาตุดิน ธาตุไฟ และธาตุลม วิถีจิตที่เกิดขึ้นทาง ๕ ทวาร ทวารใดทวารหนึ่งนั้น จึงรู้อารมณ์ซึ่งเป็นรูปธรรมเฉพาะของตนๆ เท่านั้น เช่น วิถีจิตทางตา จิตที่เกิดขึ้นทุกวิถีทางตารู้อารมณ์อย่างเดียว คือ สี แต่รู้โดยมีกิจที่ต่างกัน กล่าวคือ จักขุทวาราวัชชนจิต ทำกิจรำพึงถึงสีที่กระทบจักขุปสาทะ (ตา) จึงรู้โดยการรำพึงถึงสี จักขุวิญญาณ รู้แจ้งสีโดยทำกิจเห็น สัมปฏิจฉันนจิต ทำกิจรับรู้สีต่อจากจักขุวิญญาณ สันตีรณจิต ทำกิจพิจารณาอารมณ์ต่อจากสัมมปฏิจฉันนจิต โวฏฐัพพนจิต ทำกิจตัดสิน คือกระทำทางให้ชวนจิตเกิดต่อ ชวนจิต ทำกิจแล่นไปในอารมณ์ เสพอารมณ์ซ้ำกัน ๗ ขณะ เป็นกุศลหรืออกุศล หรือมหากิริยา โดยมีสีนั่นเแหละเป็นอารมณ์ และเมื่อสียังไม่ดับตทาลัมพณจิต ก็เกิดขึ้นทำกิจรับรู้สีต่อจากชวนจิต อีก ๒ ขณะ
ซึ่งไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน เพราะเหตุว่าทุกขณะไม่ปราศจากจิตเลย จึงศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า จิตเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ความจริงผมก็สงสัยเหมือนกันนะครับว่า ทำไมทางปัญจทวารไม่สามารถรู้นามธรรมได้ในเมื่อเราเข้าใจว่าสติปัฎฐานสามารถรู้ได้ทุกอย่าง แล้วทางปัญจทวารก็มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม สติปัฎฐานก็เกิดทางปัญจทวารได้จะไม่ขัดแย้งกันหรือครับ แล้วสติปัฎฐานสามารถรู้นามธรรมทางมโนทวารได้ สติปัฎฐานรู้นามธรรมทางมโนทวารในขณะที่เป็น ชวนะ จะต่างกันอย่างไรที่สติปัฎฐานรู้รูปธรรมทางปัญจทวารในขณะที่เป็นชวนะแต่ไม่รู้นามธรรมในขณะที่เป็นชวนะ ครับ
เรียนท่าน ajarnkruo ความคิดเห็นของผม จำแนกไว้ดีจ๊ะ มีดังนี้ครับเพราะวิถีจิตทางปัญจทวารเป็นสภาพรู้จึงเป็นนาม ที่รู้รูปครับ สภาพรู้ (นาม) และสิ่งที่ถูกรู้ (รูป) มีอยู่ที่วิถีจิตทางปัญจทวารซึ่งซ่อนกัน อยู่ส่วนทางมโนทวารมีแต่นามไม่มีรูป เพราะรูปมีอายุ ๑๗ ขณะจิต รูปจึงดับไปแล้วทางปัญจทวาร มโนทวารเป็นการคิดนึก เป็นบัญญัติครับโปรดแสดงธรรมครับ และขอเชิญทุกท่านสนทนาธรรมด้วยครับ
ขออนุโมทนา
เรียน ความเห็นที่ 4 และ 5
ตามหลักพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่อง จิต ทวาร อารมณ์ ฯ มีว่าทางปัญจทวาร อารมณ์ของจิตจะต้องเป็นรูปที่มากระทบทวารนั้นๆ เท่านั้นจิตไม่สามารถรู้รูปอื่นหรือนามธรรมได้ นี้เป็นจิตตนิยามของจิต ส่วนวิถีจิตทางมโนทวาร จิตสามารถรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือรับรู้รูปต่อจากทางปัญจทวารที่พิ่งดับไปและรู้รูปอื่นๆ ที่เป็นสุขุมรูปซึ่งรู้ได้เฉพาะทางมโทวารเท่านั้น ดังนั้น โปรดทบทวนเรื่อง จิต ทวาร อารมณ์ โดยละเอียดท่านจะหายสงสัยในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องสติปัฏฐานก็รู้อารมณ์เดียวกันกับชวนจิตตามทวารนั้นๆ ครับ
เป็นอย่างนั้นครับ แต่สภาพรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร ผมเข้าใจว่าเป็นนามครับ และจิตก็รู้นามนั้นครับ ขอแสดงความเคารพพระรัตนตรัย
เรียนความเห็นที่ ๘ ครับ
เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ไม่ใช่วิสัย ผิดจากความเป็นจริง คลาดเคลื่อนจากพระธรรมวินัย ไม่ตรงกับพระไตรปิฎกและอรรถกถา โปรดพิจารณาเทียบเคียงกับพระธรรมคำสอนก่อนครับ
ขอขอบคุณความคิดเห็นที่ ๙
ผมจะนำประเด็นนี้ศึกษาต่อไปครับ "รู้รูปทางปัญจทวารไม่ใช่นาม"
ขออนุญาติแสดงความเห็นด้วยคนนะครับ
วิถีจิตทางปัญจทวารมี ๗ วิถี วิถีจิตที่ ๑ คืออาวัชชนวิถี ได้แก่ ปัญจทวารวัชชนจิต วิถีจิตที่ ๒ คือทวิปัญจวิญญาณจิต วิถีจิตที่ ๓ คือสัมปฏิจฉันนจิต วิถีจิตที่ ๔ คือสันตีรณจิต พิจารณาอารมณ์วิถีจิตที่ ๕ คือโวฏฐัพพนจิต ตัดสินอารมณ์ทั้งหมด เป็นวิบากจิตครับ ต้องเกิดห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ วิถีจิตที่ ๖ คือชวนวิถีจิต เป็นกุศลจิต อกุศลจิต สำหรับปุถุชน มหากิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์ ถ้าสติปัฎฐานเกิด อกุศลจิตจะไม่เกิด วิถีจิตที่ ๗ คือ ตทาลัมพนวิถี สั่งสมในภวังคจิต ถ้าเป็นกุศลจิตก็เรียกว่า บารมี
ทางมโนทวารนั้น ธรรมชาติของจิตต้องคิด ขณะที่จิต กำลังคิด ถ้าสติปัฎฐานไม่เกิดก็จะคิดเป็นเรื่องราวต่างๆ แล้วปรุงแต่งความ ชอบ ไม่ชอบ ถ้าสติปัฎฐานเกิด จิตที่กำลังคิดก็จะดับ เพราะขณะที่จิตกำลังคิด คือ อกุศลจิต คือกำลังหลงไปสิ่งสมมติในโลกของความคิดซึ่งไม่มีอยู่จริง อกุศลจิต จะต้องไม่เกิดร่วมกับ จิตที่เป็นกุศล การที่สติปัฎฐานเกิดตอนที่เป็นชวนวิถีจิต เพราะจิตในขณะนี้มีการปรุงแต่งทางจิต เป็นการกระทำกรรม พระอรหันต์ จิตในขั้นนี้ท่านเป็น มหากิริยาจิต คือไม่ปรุงต่อ แต่ท่านก็ต้องได้รับวิบากทางกาย เพราะยังมีการกระทบกับโลก แต่ไม่กระเทือนไปสู่จิตเพราะหมดความปรุงแต่ง ถ้าผิดก็ขออโหสิกรรมด้วยนะครับ ผมเองสติปัญญายังน้อยอยู่ แต่สภาวธรรมเป็นสิ่งที่นอกเหนือจากความคิด คิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ อนุโมทนาครับ
ขอร่วมแสดงความคิดเห็นสืบต่อหลังจากพิจารณาความรู้จากสหายธรรมทุกท่าน
ข้าพเจ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ค่ะ
เพราะสติปัฏฐานเกิดได้ทั้ง วิถีจิตทางปัญจทวาร และวิถีจิตมโนทวาร ควรจะเป็นสติปัฏฐานคนละวิถี คือ ตัวอย่างในชีวิตประจำวันที่พอจะพิจารณาได้ เช่น กรณีของความฝัน เป็นต้น ขณะนั้นการเห็นไม่มีจริง ไม่ใช่การเห็นทางปัญจทวารแต่คิดนึกมีจริง และเป็นฐานของสติได้ มีลักษณะที่ปรากฏจริงๆ สติปัฏฐานทางมโนทวาร รู้ลักษณะของความคิดในขณะฝัน และถ้าไม่แยกวิถีจิตทางปัญจทวาร กับมโนทวารอาจมีความสับสนได้ เข้าใจว่าวิถีจิตทางปัญจทวาร แล้วแต่จะเกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กายจะรู้ได้เฉพาะรูปธรรมคือ สี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ๗ รูป เท่านั้น ตามปกติ ตามความเป็นจริงไม่ปนกันเด็ดขาด เช่น ขณะเห็น ไม่ใช่ขณะได้ยิน เป็นต้น
ตามรายละเอียดดังนี้...
โดย อาจารย์ครูโอ
วิถีจิตทางทวารต่างๆ ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้โดยละเอียด ถ้าหากเราได้ศึกษาตาม ก็อาจที่จะพอตรองตามได้ว่าไม่มีปนกันเลย และไม่พร้อมกันด้วยอารมณ์ที่จิตแต่ละวิถีรู้ ก็ทรงแสดงไว้โดยละเอียดพิสดาร ที่ผู้ไม่ประจักษ์ไม่สามารถจะแสดงได้ เพราะพ้นจากการตรึกโดยสิ้นเชิง จะคิดเท่าไร ก็คิดไม่ถึงว่าธรรมะจะลึกซึ้งเกินหยั่งรู้ได้ถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ดี พระพุทธประสงค์ที่ทรงแสดง ไม่ใช่เพื่อให้เราไปนั่งคิดสงสัยเลยครับ ว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างนั้นทรงแสดงเพื่อให้เกิดปัญญาเห็นถึงความเป็นธรรมะที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ในแต่ละขณะจิต
เข้าใจว่า การศึกษาเรื่องวิถีจิต เป็นพื้นฐานแก่การเจริญสติปัฏฐาน เพราะสติปัฏฐานยังไม่เกิด จึงจำเป็นต้องทราบให้ถูกต้องตรงพระพุทธบัญญัติก่อนและเมื่อใดที่เหตุสมควรแก่ผล สติปัฏฐานเกิดจะรู้ได้ว่า ที่ถูกคืออย่างไร ทีผิดคืออย่างไร
และความรู้ที่ได้จากคุณ คำปั่น
วิถีจิตที่เกิดขึ้นทาง ๕ ทวาร ทวารใดทวารหนึ่งนั้น จึงรู้อารมณ์ซึ่งเป็นรูปธรรมเฉพาะของตนๆ เท่านั้น เช่น วิถีจิตทางตา จิตที่เกิดขึ้นทุกวิถีทางตา รู้อารมณ์อย่างเดียว คือสี แต่รู้โดยมีกิจที่ต่างกัน กล่าวคือ จักขุทวาราวัชชนจิต ทำกิจรำพึงถึงสีที่กระทบจักขุปสาทะ (ตา) จึงรู้โดยการรำพึงถึงสี, จักขุวิญญาณ รู้แจ้งสีโดยทำกิจเห็น สัมปฏิจฉันนจิต ทำกิจรับรู้สีต่อจากจักขุวิญญาณ สันตีรณจิต ทำกิจพิจารณาอารมณ์ ต่อจากสัมมปฏิจฉันนจิต, โวฏฐัพพนจิต ทำกิจตัดสิน คือ กระทำทางให้ชวนจิตเกิดต่อ ชวนจิต ทำกิจแล่นไปในอารมณ์เสพอารมณ์ซ้ำกัน ๗ ขณะ เป็นกุศลหรืออกุศล หรือมหากิริยา โดยมีสีนั่นเแหละเป็นอารมณ์ และเมื่อสียังไม่ดับ ตทาลัมพณจิต ก็เกิดขึ้นทำกิจรับรู้สีต่อจากชวนจิต อีก ๒ ขณะ
เข้าใจว่า ข้อความที่เป็นสีแดงนั้นแหละ คือ สติปัฏฐาน สามารถเกิดได้ ที่เกิดตรง ชวนจิต ทางปัญจทวาร เพราสติปัฏฐาน เกิดที่ชวนจิตโดยมีสี คือ รูปที่ปรากฏทางตาเป็นอารมณ์ และทวารอีก ๔ คือหู จมูก ลิ้น กาย ก็โดยนัยเดียวกัน
ยืนยันได้จากที่ อาจารย์ประเชิญ กล่าวว่า
ตามหลักพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเรื่อง จิต ทวาร อารมณ์ ฯ มีว่า ทางปัญจทวาร อารมณ์ของจิตจะต้องเป็นรูปที่มากระทบทวารนั้นๆ เท่านั้นจิตไม่สามารถรู้รูปอื่นหรือนามธรรมได้ นี้เป็นจิตตนิยามของจิต ส่วนวิถีจิตทางมโนทวาร จิตสามารถรู้ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง คือรับรู้รูป ต่อจากทางปัญจทวารที่พิ่งดับไป และรู้รูปอื่นๆ ที่เป็นสุขุมรูปซึ่งรู้ได้เฉพาะทางมโทวารเท่านั้น สติปัฏฐานก็รู้อารมณ์เดียวกันกับชวนจิตตามทวารนั้นๆ ครับ
เข้าใจว่า สติปัฏฐานที่เกิด ทางปัญจทวาร เป็นการทำงานของจิตคือ นามธรรม เช่น จิตเห็น เป็นต้น รู้ลักษณะของรูปธรรม เช่น สี ว่าเป็นสภาพธรรม จึงกล่าวว่า จิต คือสภาพรู้เป็นนามธรรม (คือ จิตเห็น จิตกระทบสัมผัส) หมายถึง สภาพรู้รูปปธรรม (๗ อย่าง คือ โคจรรูป) จึงกล่าวว่า วิถีจิตทางปัญจทวาร รู้รูปธรรมเท่านั้น เพราะเหตุนี้
ความเข้าใจของคุณจำแนกฯ.. ที่ว่า
"แต่สภาพรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร ผมเข้าใจว่าเป็นนามครับ และจิตก็รู้นามนั้นครับ" แต่สภาพรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร ผมเข้าใจว่าเป็นนาม ครับ
เข้าใจว่า ถูกต้องค่ะ ถ้าสภาพรู้อารมณ์ทางปัญจทวาร ที่คุณหมายถึง จิตเห็น จิตกระทบสัมผัส (หรือจิตที่เกิดทางปัญจทวาร) ซึ่งเป็นนามธรรม และจิตก็รู้นามนั้น ครับ
เข้าใจว่า ไม่ถูกต้องค่ะ
เพราะ สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส (ที่รู้ได้ทางปัญจทวาร) ไม่ใช่ นามธรรม แต่เป็น รูปธรรม ค่ะ
ไม่ทราบว่าความเข้าใจของข้าพเจ้าข้างต้นผิด ถูก คลาดเคลื่อน ประการใดขอสหายธรรมท่านอื่น กรุณาแนะนำด้วยค่ะเรื่องวิถีจิต ที่เป็นปัจจัยเกื้อกูลแก่สติปัฏฐานเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่ข้าพเจ้ายังมีความเข้าใจน้อยมากค่ะ
(ต้องขออภัยท่านเจ้าของความเห็นทุกท่านนะคะที่นำข้อความของท่านมาใช้ โดยไม่ขออนุญาตก่อนค่ะ.)
กราบเรียนท่าน prachern.s ผมศึกษาแล้วครับ ดังนี้
รู้รูปทางปัญจทวารเป็นนาม แต่นามไม่ได้เป็นอารมณ์ของจิตทางปัญจทวารครับ" รูปทางตาเปลี่ยนท่าทางไป แต่รูปทางใจยังประทับ ติดข้องแต่ก็แค่เพียงมองดูเท่านั้น"กราบขอขอบพระคุณกัลยาณมิตรทุกท่าน โดยเฉพาะท่าน prachern.s ความคิดเห็นที่ 9 อาจหาญจริงๆ แต่กอปรด้วยกุศล ครับ
ขออนุโมทนา
" รูปทางตาเปลี่ยนท่าทางไป (รู้รูปที่เกิดในขณะทางปัญจทวารต่อๆ มาครับ) แต่รูปทางใจยังประทับ (รูปเกิดทางมโนทวารโดยมีรูปทางปัญจทวารแรกเป็นปัจจัยครับ) ติดข้อง (พอใจ เกิดที่ชวนวิถีจิตมทางมโทวาร อาศัยอกุศลทางชวนวิถีจิตทางปัญจทวารเป็นปัจจัย : เป็นนามครับ) แต่ก็แค่เพียงมองดูเท่านั้น (เป็นทุกข์ครับ ไม่ได้รูปนั้น : เป็นนาม มีสภาพธรรม (รูป-นาม) ที่เกิดทั้งหมดทั้งทางปัญจทวารและมโนทวารเป็นปัจจัย ครับ"
ผมยังมีข้อสงสัยอยู่อีกนิดครับ ที่ว่าทางปัญจทวารมีรูปธรรมเท่านั้นเป็นอารมณ์และไม่มีนามธรรมเป็นอารมณ์ของสติปัฎฐาน แล้วสัมปฎิจฉันนะ สันตีรนะที่เป็นนามธรรมสติปัฎฐานรู้ไม่ได้ หรือครับ เมื่อรู้ไม่ได้ทำไมมีได้ ถ้าไม่ใช่รู้ด้วยสติปัฎฐาน ถ้าเป็นจิตนิยามก็ โอเค ที่ถามนี้เข้าใจว่าสติสามารถรู้ได้ทุกอย่างเลย มีความรู้สึกว่าขัดแย้งแต่เมื่อเป็นจิตนิยามก็ไม่มีคำถาม ครับ