จดหมายจากท่านผู้ฟัง [12]

 
สารธรรม
วันที่  22 ธ.ค. 2551
หมายเลข  10741
อ่าน  2,977

จดหมายจากท่านผู้ฟัง 12

ท่านอาจารย์ : ขอโอกาสตอบปัญหาของท่านผู้ฟัง ขอตอบจดหมายของพระคุณเจ้า ที่เขียนที่วัดเกาะ ตำบลบางพลับ อำเภอโพธิทอง จังหวัดอ่างทอง ซึ่งมีข้อความว่า ...

เจริญพรอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

หนังสือที่จัดส่งไปเป็นธรรมบรรณาการ อาตมาได้รับเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคมนี้ และขออนุโมทนาด้วย ในรายการของอาจารย์นั้น ก็พอจะสังเกตได้ว่า คนที่สนใจในทางธรรม มักจะเข้ามาถามปัญหา และพูดโต้แย้ง และคนเหล่านั้นก็เป็นคนที่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นอย่างดี อาตมาถึงจะมีความรู้ไม่กว้างขวางเท่าใดนัก แต่เมื่อฟังแล้ว ก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะเป็นแนวทางที่ไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา จึงขอถามปัญหาที่ข้องใจสักเล็กน้อย หวังว่าคงจะไม่ขัดข้องใช่ไหม และเมื่อจะตอบ (ก็) ขอให้ตอบทางรายการ

ข้อ ๑. ปัญญานั้นก็เป็นธรรมที่มีเหตุใกล้ สิ่งใดก็ตามที่จะมาทำให้เกิดเป็นความเสื่อมหรือความเจริญแก่ปัญญานั้น ก็ย่อมเข้าถึงเหตุนั้นก่อน เพราะใกล้กว่า เมื่อเหตุไม่เจริญ ผลจะเจริญได้อย่างไร จึงใคร่จะขอถามอาจารย์ว่าวิปัสสนาปัญญาของอาจารย์นั้น มีความเจริญก้าวหน้าไปด้วยอาการอย่างไร แล้วถ้าวิปัสสนานั้นจะเจริญก้าวหน้าไปได้เองตามลำพัง ไม่สมกับคำว่า ธรรมทั้งปวงนั้นเกิดแต่เหตุ ข้อนี้จึงทำให้เกิดเป็นความสงสัยขึ้นว่า จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นวิปัสสนานอกลู่นอกทาง เพราะว่า วิปัสสนานั้นเป็นธรรมชั้นสูง ถ้าบิดเบือนแนวทางเพียงเล็กน้อย ผู้ปฏิบัติจะผิดพลาดไปไกล และพุทธบริษัทไม่ใช่คัมภีร์บริษัททุกคน คิดถึงคนอื่นให้ดีๆ

ข้อ ๒. การกระทบเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็เกิดเป็นเวทนาอย่างธรรมดา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง อาจารย์เห็นเป็นการเจริญสติปัฏฐานได้อย่างไร ในเมื่อเวทนาไม่ตั้งอยู่แน่นอนเช่นนั้น แล้วจะมีอะไรที่ดีขึ้น อาจารย์กระทบถูกต้องมาตั้งแต่เกิดจนบัดนี้ กิเลสหมดแล้วหรือยัง เจริญสัญญาปัฏฐานหรือสติปัฏฐาน คนมีสติสัมปชัญญะนั้น มีลักษณะอย่างไร

ข้อ ๓. พูดถึงเรื่องในหนังสือ อาจารย์พูดว่า การฟังธรรม ไปกำหนดที่บุคคลจึงมีเรื่องสะเทือนใจ ควรพิสูจน์แต่เฉพาะสัจจธรรม ในลักษณะตามความเป็นจริง ข้อนี้ในขั้นความเห็น ควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ในขั้นปฏิบัติไม่ได้ผล ถ้าบุคคลผู้แสดงธรรมไม่มีความสำคัญแล้ว พระพุทธเจ้าจะแสดงองค์แห่งพระธรรมกถึก (นักแสดงธรรม) ๕ อย่างไว้ทำไม ก็เพราะเหตุว่าเป็นที่ตั้งแห่งความยินดี ใครเห็นว่าสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องไม่สำคัญ ถ้าไม่สำคัญจริงแล้ว เราจะต้องพึ่งธรรมของพระพุทธเจ้าทำไม ถ้าเราไม่พึ่งสิ่งแวดล้อมจริงๆ เราก็ต้องรู้เอาด้วยตนเอง กว่าธรรมจะตกมาถึงเรา และให้เกิดเป็นความรู้แก่ตัวเรานี้ก็ต้องพึ่งสิ่งแวดล้อมเป็นอันมาก มีพระพุทธพจน์ข้อหนึ่ง ที่อาจารย์เคยนำมากล่าว ซึ่งพระศาสดาตรัสกับพระอานนท์ว่า ความได้มิตรดี ความได้สหายดี ความน้อมใจไปในคนดี เป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้นทีเดียว พระพุทธพจน์ข้อนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่อาจารย์ไม่เห็นความสำคัญในพระพุทธพจน์ข้อนี้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สารธรรม
วันที่ 22 ธ.ค. 2551

ท่านอาจารย์ : ขอกราบเรียนพระคุณเจ้าว่า การฟัง หรือว่า การศึกษาพระไตรปิฎกก็ดี ถ้าศึกษาไม่ตลอด หรือว่า ถ้าฟังไม่ตลอด ก็อาจจะเห็นว่าขัดแย้งกันเสมอ แต่ถ้าฟังโดยตลอดและศึกษาโดยตลอดจริงๆ เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จะไม่มีความขัดแย้งเลย เพราะเหตุว่า สภาพธรรมเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น

สำหรับข้อ ๑ ที่ท่านว่า ปัญญาก็เป็นธรรมที่มีเหตุใกล้ สิ่งใดก็ตามที่จะมาทำให้เกิดเป็นความเสื่อม หรือความเจริญแก่ปัญญานั้น ก็ย่อมเข้าถึงเหตุนั้นก่อน เพราะใกล้กว่า เมื่อเหตุไม่เจริญ ผลจะเจริญได้อย่างไร จึงใคร่จะขอถามอาจารย์ว่า วิปัสสนานั้นจะเจริญก้าวหน้าไปได้เองตามลำพังก็ไม่สมกับคำว่าธรรมทั้งปวงนั้นเกิดแต่เหตุ ข้อนี้จึงทำให้เกิดเป็นความสงสัยขึ้นมาว่า จะไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นวิปัสสนานอกลู่นอกทาง เพราะว่าวิปัสสนานั้นเป็นธรรมชั้นสูง ถ้าบิดเบือนแนวทางเพียงเล็กน้อย ผู้ปฏิบัติจะผิดพลาดไปไกล และพุทธบริษัทไม่ใช่คัมภีร์บริษัททุกคน คิดถึงคนอื่นให้ดีๆ

ขอกราบเรียนพระคุณเจ้าว่า ที่ปัญญาจะรู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ ต้องอาศัยการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ปัญญาย่อมจะไม่รู้ในลักษณะของนามธรรม ว่าเป็นสภาพรู้ และลักษณะของรูปธรรมเป็นสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เพราะฉะนั้น เท่าที่ได้บรรยายมาแล้วทั้งหมดไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ปัญญาก็จะเกิดขึ้นได้เอง จะต้องอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นเหตุที่จะให้ปัญญารู้ชัดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้แล้วว่า "สติปัฏฐานเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้"

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สารธรรม
วันที่ 22 ธ.ค. 2551

ขอตอบจดหมายข้อ ๒. ข้อความในจดหมายมีว่า การกระทบเย็น ร้อน อ่อนแข็ง ก็เกิดเป็นเวทนาอย่างธรรมดา สุขบ้าง ทุกข์บ้าง อาจารย์เห็นเป็นการเจริญสติปัฏฐานได้อย่างไร ในเมื่อเวทนาไม่ตั้งอยู่แน่นอนเช่นนั้น แล้วจะมีอะไรที่ดีขึ้น อาจารย์กระทบถูกต้องมาตั้งแต่เกิด จนบัดนี้กิเลสหมดแล้วหรือยัง เจริญสัญญาปัฏฐานหรือสติปัฏฐาน คนมีสติสัมปชัญญะนั้นมีลักษณะเช่นไร

เท่าที่ได้บรรยายไปแล้ว ก็เข้าใจว่าได้ตอบข้อสงสัยในข้อ ๒ นี้ แต่เพื่อที่จะให้พระคุณเจ้าได้ตรวจสอบกับข้อความในพระไตรปิฎก ว่าการอบรมเจริญสติปัฏฐานนั้น เพื่อให้ปัญญาเกิดขึ้นรู้อะไร เพราะเหตุว่า ต้องมีสภาวธรรมซึ่งเป็นของจริง ที่ปัญญาจะรู้ชัด จึงจะละความสงสัย ความไม่รู้ในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ละการยึดถือว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตนได้ แต่ที่น่าเสียดาย ก็คือว่า พระคุณเจ้าไม่ได้ชี้แจงให้ทราบว่า ถ้าไม่รู้ลักษณะของสภาวธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจในขณะนี้ เพราะเหตุว่า ในขณะนี้ก็มีโผฏฐัพพะ มีเย็น มีร้อน มีอ่อน มีแข็ง มีสุข มีทุกข์ ซึ่งเป็นสภาวธรรมจริงๆ กำลังปรากฏ ถ้าไม่รู้สภาวธรรมเหล่านี้ พระคุณเจ้าไม่ได้ชี้แจงมาด้วยว่า จะให้รู้อะไร

ขอกล่าวถึงข้อความในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค อาทิตตปริยายสูตร ข้อความใน อาทิตตปริยายสูตร (หน้าที่ ๓๕๗) มีว่า ...

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอาทิตตปริยาย และธัมมปริยายแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาทิตตปริยาย และ ธัมมปริยาย เป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ ด้วยหลาวเหล็กอันร้อน ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิต โดยอนุพยัญชนะในรูป อันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ จะดีอะไร วิญญาณอันเนื่องด้วยความยินดีในนิมิตหรือเนื่องด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ พึงตั้งอยู่ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาในสมัยนั้น พึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือนรก หรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้

กำลังเห็น ถือนิมิต อนุพยัญชนะในสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยที่ไม่รู้ว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วไม่รู้ว่าสภาพที่เห็นเป็นแต่เพียงสภาพที่รู้ทางตาเท่านั้น ถ้าขณะนั้นสติไม่เกิด แล้วก็ถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะ ในรูปอันจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ จะดีอะไร วิญญาณอันเนื่องด้วยความยินดีในนิมิตหรือเนื่องด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะพึงตั้งอยู่

นี่เป็นของที่แน่นอนที่สุดที่จะเห็นนิมิตรูปร่าง อนุพยัญชนะส่วนละเอียดในวัตถุที่เป็นอารมณ์ แล้วก็ยึดถือในความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล

ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยา (คือตายสิ้นชีวิตลง) ในสมัยนั้น พึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือนรก หรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้

พระผู้มีพระภาคทรงเตือน ในขณะที่กำลังเห็นนี้ ระลึกเลยทันที ว่าที่กำลังปรากฏนี้ เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น แล้วที่กำลังรู้ คือที่กำลังเห็นนี้ ก็เป็นสภาพรู้ทางตาชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง นี่แหละที่จะต้องระลึกบ่อยๆ เนืองๆ จนเป็นความชำนาญ จนเป็นความรู้ชัด จนเป็นความรู้จริงในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมทางตา

สำหรับทางหู ก็โดยนัยเดียวกัน เพราะเหตุว่า ก็จะต้องมีการได้ยินอยู่เรื่อยๆ แต่ไม่ควรขาดสติเลย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเกี่ยวโสตินทรีย์ด้วยขอเหล็กอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในเสียง อันจะพึงรู้แจ้งด้วยหู จะดีอะไร วิญญาณอันเนื่องด้วยความยินดีในนิมิต หรือเนื่องด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะพึงตั้งอยู่ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาในสมัยนั้น พึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือนรก หรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้

ผู้ที่เห็นโทษนี้ เห็นโทษจริงๆ ของการเป็นผู้หลงลืมสติ การที่จะไม่รู้ลักษณะของนามและรูป ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทางใจ แต่ว่าผู้ที่ยังไม่เห็นว่าเป็นโทษ ก็ยังหลงลืมไปเรื่อยๆ

ข้อความต่อไปเป็นเรื่องของทางจมูก

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลคว้านฆานินทรีย์ด้วยมีดตัดเล็บอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในกลิ่น อันจะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก จะดีอะไร วิญญาณอันเนื่องด้วยความยินดีในนิมิตหรือเนื่องด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ พึงตั้งอยู่ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาในสมัยนั้น พึงเข้าถึงคติ ๒ อย่างคือ นรกหรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้

ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็โดยนัยเดียวกัน แต่เพราะเหตุว่าทางลิ้นก็อาจจะกำลังมี สำหรับบางท่าน ทางกายก็อาจจะกำลังมี สำหรับบางท่านที่ปรากฏ ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงโดยตลอด ไม่เว้นทางหนึ่งทางใด เพื่อเกื้อกูลให้สภาพธรรมใดที่กำลังปรากฏแก่บุคคลใด แล้วสติเกิดขึ้น ระลึกรู้รูปหรือนามทางนั้น ในขณะนั้นทันที

ข้อความต่อไป

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเฉือนชิวหินทรีย์ด้วยมีดโกนอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิต โดยอนุพยัญชนะในรส อันจะพึงรู้แจ้งด้วยลิ้น จะดีอะไร วิญญาณอันเนื่องด้วยความยินดีในนิมิต หรือเนื่องด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ พึงตั้งอยู่ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาในสมัยนั้น พึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือนรก หรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้

ข้อความต่อไป จะเป็นการตอบจดหมายของพระคุณเจ้า จากวัดเกาะ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงกายินทรีย์ด้วยหอกอันคม ไฟติดลุกโพลงแล้ว ยังดีกว่าการถือนิมิต โดยอนุพยัญชนะในโผฏฐัพพะ อันจะพึงรู้แจ้งด้วยกาย จะดีอะไร วิญญาณอันเนื่องด้วยความยินดีในนิมิตหรือเนื่องด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ พึงตั้งอยู่ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยาในสมัยนั้น พึงเข้าถึงคติ ๒ อย่าง คือนรกหรือกำเนิดสัตว์เดรัจฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้ จึงได้กล่าวอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดยังไม่เห็นความเป็นประโยชน์ของการที่สติจะระลึกรู้ที่อ่อนหรือที่แข็ง ที่เย็นหรือที่ร้อน ที่ตึงหรือที่ไหวที่กำลังปรากฏในขณะนี้ จะรู้ได้ว่า ความเข้าใจของท่านนี้ยังไม่ตรงกับพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้แล้วทรงแสดงไว้ เพราะเหตุว่า จะข้ามไม่ได้เลย แม้แต่อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ที่กำลังปรากฏทางกายก็จะต้องระลึกรู้ มิฉะนั้นแล้วก็จะยินดีในนิมิต ในอนุพยัญชนะ

ข้อความต่อไป

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความหลับยังดีกว่า แต่เรากล่าวความหลับว่าเป็นโทษ ไร้ผล เป็นความโง่เขลาของบุคคลผู้เป็นอยู่ ตนลุอำนาจของวิตกเช่นใดแล้ว พึงทำลายสงฆ์ให้แตกกันได้ บุคคลไม่ควรตรึกถึงวิตกเช่นนั้นเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเห็นโทษอันนี้แล ว่าเป็นอาทีนนพของบุคคลผู้เป็นอยู่ จึงกล่าวอย่างนี้

บางท่านเป็นห่วงเหลือเกิน เรื่องการหลับนอน แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความหลับยังดีกว่า แต่เรากล่าวความหลับว่า เป็นโทษ ไร้ผล เป็นความโง่เขลาของบุคคลผู้เป็นอยู่

ขณะที่กำลังหลับ ไม่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ แต่จะไม่เป็นประโยชน์เท่ากับการตื่นขึ้นสติเกิด รู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เทียบดูว่า ถ้าหลับแล้วไม่เกิดอกุศล แต่ถ้ามีการตื่นขึ้นแล้วไม่เจริญสติ ก็พอกพูนโลภะ โทสะ โมหะเพิ่มขึ้น มากขึ้น

ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา

บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

เนื่องจากผู้ตั้งกระทู้รีบคัดลอกข้อความมา เพราะเห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงลืมที่จะจดหมายเลขตอนเก็บไว้ ทำให้จำตอนที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้ไม่ได้ก็เลยไม่แน่ใจว่า ท่านอาจารย์ได้ตอบคำถามข้อ ๓ ไว้ว่าอย่างไรต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ครับ (ถ้าค้นเจอก็จะนำมาแสดงในโอกาสต่อไป)

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
พุทธรักษา
วันที่ 22 ธ.ค. 2551

* เนื่องจากผู้ตั้งกระทู้รีบคัดลอกข้อความมา เพราะเห็นว่ามีประโยชน์มาก จึงลืมที่จะจดหมายเลขตอนเก็บไว้ ทำให้จำตอนที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้ไม่ได้ก็เลยไม่แน่ใจว่า ท่านอาจารย์ได้ตอบคำถามข้อ ๓ ไว้ว่าอย่างไร ต้องขออภัยทุกท่านมา ณ ที่นี้ครับ (ถ้าค้นเจอก็จะนำมาแสดงในโอกาสต่อไป)

ไม่เป็นไรครับ ไม่ต้องรีบเท่าที่มีมานี้ก็ยาวมากพอสมควรขอกลับขึ้นไปอ่านก่อนนะถ้าสงสัยประการใด จะขอรบกวนถามในโอกาสต่อไปครับ

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
suwit02
วันที่ 22 ธ.ค. 2551

เห็นด้วยกับความเห็นที่ 3

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
narong.p
วันที่ 23 ธ.ค. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 23 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เซจาน้อย
วันที่ 23 ธ.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ไม่มีเรา
วันที่ 30 ธ.ค. 2551
ขอโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 5 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คุณ
วันที่ 29 เม.ย. 2552
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
pamali
วันที่ 25 มิ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 25 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ