แสบและคันก็เป็นธรรมะ
ขออนุญาตเล่าเรื่องราวก่อนนะครับ เมื่อวานผมแพ้ฝุ่น จึงเกิดคันที่แขน ตกกลางคืนก็เกาจนเป็นแผลเล็กๆ ทั่วแขน ตื่นมาก็รู้สึกแสบคันทรมานมาก เหมือนมีไฟมาจี้ๆ แต่ก็นึกถึงคำอาจารย์สุจินต์ได้ว่า ยังดีกว่าความทรมานในนรกภูมิ จากนั้นก็พิจารณาว่าเป็นอะไร (นึกคิดถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง) ก็กำลังแสบคัน แสบคันคืออะไร จึงนึกคิดพิจารณา ดูที่แขน เห็นเป็นสะเก็ดเล็กๆ ที่เกิดจากการเกา อ้อ พอตกสะเก็ดแล้วจึงเกิดความตึงที่แผลก็เลยคัน เลือดมาเลี้ยงมากขึ้นเพราะผิวที่เป็นแผลบางลง ดังนั้นความร้อนในร่างกายจึงระอุขึ้นมาก็เลยแสบ พอคิดได้ดังนี้ ก็เกิดระลึกว่าเป็น "ตึง-ร้อน" ช่วงที่ระลึกได้ว่า "ตึง ร้อน" ความรู้สึกแสบทรมานหายไป แต่เป็น ตึง ร้อน ครู่เดียวเท่านั้น ก็แสบทรมานต่ออีก แล้วก็นึกคิดต่อว่าเป็นโทสะ บังคับบัญชาไม่ได้เลยจริงๆ ต้องฟังพระธรรมต่อไปอีกนานเป็นจิรกาลภาวนา จนกว่าจะรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา คำถามก็คือ ระลึกว่าเป็นตึงและร้อน แล้วความแสบทรมานหายไป (ครู่เดียว) ขณะนั้นเรียกว่า สติ หรือเรียกว่า นึกคิด ครับ
ในชีวิตประจำวันของเราก่อนศึกษาพระธรรม เมื่อเห็น ได้ยิน เป็นต้น จิตก็คิดเป็นไปกับเรื่องนั้นๆ อยู่เสมอ เมื่อเริ่มศึกษาพระธรรมแล้วสภาพของจิตก็เป็นไปตามปกติ คือเมื่อเห็น ได้ยิน เป็นต้น จิตก็คิดแต่จะคิดไปในทางใดอยู่ที่การสะสม อาจจะคิดไปในทางธรรมะที่ได้ศึกษามาก็เป็นได้ ขณะที่คิดเป็นไปในกุศล เป็นไปในเรื่องธรรมะ สติเจตสิกก็เกิดร่วมด้วย จริงๆ แล้วผู้ศึกษาต้องรู้ด้วยตนเองว่าเป็นสติหรือคิดนึกและที่สำคัญคือผ่านไปหมดแล้ว ขณะนี้ สติระลึกหรือคิดนึก รู้ความต่างกันหรือยังครับ สภาพธรรมอะไรกำลังปรากฏ
ทุกๆ ขณะที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส (เช่นตึงและร้อน) จิตก็คิดไปในเรื่องราวต่างๆ ทันที โดยปกติจะคิดไปในทางอกุศลมากกว่า ถ้าคิดพิจราณา ในเรื่องสภาพธรรมแล้วเข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นกุศลหรือในขณะที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะคันหรือร้อนตามปกติตามที่เข้าใจโดยไม่มีตัวตนไปรู้ อย่างที่ท่านอาจารย์ prachern.s กล่าวว่าผู้ศึกษาต้องรู้ด้วยตนเองว่าเป็นสติหรือคิดนึก และที่สำคัญคือ ผ่านไปหมดแล้ว ขณะนี้ สติระลึกหรือคิดนึก รู้ความต่างกันหรือยังครับ สภาพธรรมอะไรกำลังปรากฏ.
ขออนุโมทนาค่ะ
อาจารย์สุจินต์ "เพราะฉะนั้น ที่จะไม่ใช่บุรุษเปล่า คือเริ่มระลึกรู้ (เช่น) ทางตา ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ จนกว่าจะรู้ชัด มีประการเดียวค่ะ เริ่มระลึกเนืองๆ บ่อยๆ จนกว่าจะรู้ชัด"
"ท่านผู้ฟังซาบซึ้งในคำอุปมาที่ว่า "จับด้ามมีด" ใช่ไหมคะ จับจนกว่าจะสึกเพียงชั่วขณะที่จับครั้งแรกนี้ ไม่ปรากฏว่าด้ามมีดสึก ปีหนึ่งก็ยังไม่สึก จับทุกวันก็ยังไม่สึก แต่เวลาที่ด้ามมีดสึกแล้วทราบว่ามี เหตุ คือ การจับ ซึ่งทำให้ด้ามมีดสึก และด้ามมีด ไม่ใช่ขณะอื่น กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ จับ หรือยัง
สติระลึกศึกษา รู้ลักษณะของสิ่งกำลังที่ปรากฏหรือยัง ทางหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ด้ามมีดทั้งหมดที่กำลังรอให้สติระลึกเพื่อที่จะรู้ชัดตามความเป็นจริงว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน
มิฉะนั้นแล้ว บุรุษเปล่าทั้งหลายก็จะพูดว่า ธรรมะ ทั้งหลาย เป็นอนัตตาแต่ไม่ประจักษ์ ในความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ"
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่ และสรรพสัตว์
สิ่งจริงแท้แน่นอนคือ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎใน ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เมื่อรู้ก็รู้อย่างนี้แหละ ไม่ใช่รู้อย่างอื่นที่ไม่ได้ปรากฎให้รู้
ขออนุโมทนาค่ะ
สติเกิดสลับกับคิดนึกก็ได้ เกิดและดับอย่างรวดเร็ว ต้องเป็นปัญญาจึงจะรู้ความต่างกันค่ะ
จากที่เคยสนทนากับสหายธรรมและท่านผู้ใหญ่ ท่านบอกว่า ถ้าถาม แปลว่ายังไม่รู้ยังไม่ได้ระลึกรู้ ยังไม่ชัดเจนในสภาพหรือลักษณะของธรรมะนั้นๆ ที่ปรากฎ ซึ่งก็คือ ยังเป็นการคิดนึก นั่นเองค่ะ (ป.ล. เคยถามปัญหาคล้ายๆ นี้เหมือนกันน่ะค่ะ)
๐๐๐ ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ ๐๐๐