ธรรมะเกิดแล้วในชีวิตประจำวัน
ธรรมะเกิดแล้วในชีวิตประจำวัน ทางทวาร 6 คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แสดงลักษณะของตน ไม่เป็นอย่างอื่น รูปปรากฏทางตา เสียงปรากฏทางหู กลิ่นปรากฏทางจมูก รสปรากฏทางลิ้น แข็ง อ่อน ร้อน เย็น ปรากฏทางกายสัมผัส
ธรรมะเกิดแล้ว แต่ไม่เคยรู้ว่าเป็นธรรมะธรรมะเป็นความจริง เกิดแล้ว ดับแล้ว ตลอดเวลา นับตั้งแต่มีชีวิตเกิดขึ้นธรรมะมีอยู่แล้ว ไม่ต้องเรียกชื่อ ทำให้บางคน เรียกได้แต่ชื่อ โดยไม่เข้าใจสภาพธรรม ที่แท้จริง
การศึกษาธรรม ต้องเข้าใจพื้นฐานก่อน คือ ความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยเข้าใจ ไม่ลืม การเข้าใจมากขึ้นจะเป็นปัจจัย ทำให้ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงไม่ใช่ จะศึกษาอย่างไร จะรู้ผลได้อย่างไร จะเป็นอย่างไรต่อ เมื่อมีการเห็นถูก นั่นคือปัญญาเห็นถูกเข้าใจถูกก่อนอย่าข้ามปัญญา อย่าหวังผล หวังสติ เข้าใจลักษณะสิ่งที่ปรากฏ นั่นคือปัญญา
กราบอนุโมทนาในความเห็นถูกเข้าใจถูก ของทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
ถ้าไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร จะเห็นคุณค่าของการศึกษาพระธรรมน้อยมาก เพราะไม่รู้ว่าธรรมะ คือขณะนี้ การศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจ เป็นเรื่องสำคัญมากและไม่ใช่การศึกษาเหมือนทางโลก เพราะศึกษาเพื่อเข้าใจนี้เป็นการละตั้งแต่ต้นจริงๆ ขาดการศึกษาอย่างลึกซึ้งก็จะไปทำสิ่งอื่นทันทีด้วยความไม่เข้าใจ
เมื่อสัปดาห์ก่อน ก็ได้ไปถามท่านอาจารย์สุจินต์อีกครั้งหนึ่ง ถามเรื่องที่เพื่อนกระผมทำนั้นเป็นอกุศลหรือกุศล ท่านก็เน้นย้ำว่า ให้ฟังให้เข้าใจก่อน จนเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เรา เพื่อนที่ไปด้วย ก็ไม่เข้าใจว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา คืออะไร ก็ได้บอกเพื่อนไปว่า สัพเพธัมมา อนัตตา หมายถึง ธรรมทั้งหลายทั้งปวงบังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อนก็แปลกใจ ไม่เคยได้ยินคำว่า อนัตตาหมายถึงบังคับบัญชาไม่ได้ เคยได้ยินว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เขาจึงคิดว่าไม่ควรศึกษามากเพราะกลัวจะยึดมั่นถือมั่นในการทรงจำ นี่แหละความยากละเอียดลึกซึ้ง พื้นฐานสำคัญมาก ต้องเริ่มจาก ธรรมะคืออะไร และเข้าใจก่อนว่าเป็นธรรมะไม่ใช่เราคืออะไร แม้จะยังไม่จรดกระดูก แต่ต้องเป็นไปตามลำดับจริงๆ เพราะเคยข้ามขั้นมาแล้ว ล้มไม่เป็นท่าเลยครับ
ขออนุโมทนาครับ
ทิฏฐิคืออกุศลธรรมที่ต้องละเป็นลำดับแรกก่อนอกุศลธรรมอื่นๆ โดยการค่อยๆ ฟังให้เข้าใจขึ้นๆ ทีละน้อยๆ เร็วไม่ได้ ต้องเป็นความรู้ความเข้าใจของตนเองจริงๆ สะสมไปจนเป็นเหตุให้สติเกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงจะสามารถละคลายความเป็นตัวตน และเห็นถูกว่าเป็นเพียงสภาพธรรมะ ไม่มีตัวตน สัตว์ บุคคล จริงๆ
ฟังจนกว่าจะเข้าใจอย่างมั่นคง ถึงแม้ขั้นฟังว่า ไม่มีเราจริงๆ มีแต่ธรรมะ หรือความประพฤติเป็นไปของขันธ์ ๕ เท่านั้น
ขออนุโมทนาค่ะ
ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ ปรากฏกับปัญญาเท่านั้นค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ธัมมะคืออะไร
[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒- หน้าที่ 38
ในคำว่า ธมฺม นี้ ธัมมศัพท์นี้ ใช้กันในอรรถทั้งหลายมี ปริยัตติ สมาธิ ปัญญา ปกติ สภาวะ สุญญตา บุญ อาบัติ เญยยะ และจตุสัจธรรม เป็นต้น ดังนั้น ธรรมจึงมีหลายความหมาย
ธรรม หมายถึง ปริยัติ เช่น พระไตรปิฎก มี วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎกก็ชื่อว่า ธรรมธรรม หมาย ถึงปัญญา
ธรรม หมายถึง ปกติ เช่น มีความแก่เป็นปกติ เกิดเป็นปกติ ตายเป็นปกติ
ธรรม หมายถึง สภาวะ คือลักษณะของสภาพธัมมะของสภาวธรรมต่างๆ เช่น สภาวธรรมของกุศล อกุศล กิริยา
ธรรม หมายถึง จตุสัจธรรม คือ อริยสัจ ๔ ตามที่เราได้เข้าใจกัน เข้าใจคำว่า ธรรม หมายถึง ลักษณะของสภาวธรรมที่มีจริงในขณะนี้ปรากฏในชีวิตประจำวัน คือ จิต เจตสิก รูป
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้น แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา โดยพระองค์ทรงใช้พยัญชนะที่หลากหลายมากมายในการแสดงพระธรรมเทศนา เพื่อให้ผู้ฟังได้เข้าใจถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
สำหรับธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล เป็นวิบาก เป็นกิริยา โดยประมวลแล้ว เป็นจิต เจตสิก รูป หรือ เป็นนามธรรม กับ รูปธรรม เมื่อประมวลให้ย่อที่สุดแล้ว คือ เป็นธรรม หรือ เป็นธาตุ เมื่อเป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละอย่างๆ จึงหาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลไม่ได้เลย ดังนั้น จึงฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้นไปตามลำดับ ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...