สร้างเรื่อง...จากสิ่งที่ปรากฏ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ท่านผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น ในสูตรนี้ พิจารณากาย อย่างเดียว ก็เป็นพระอรหันต์ได้สิครับ
ท่านอาจารย์ โดยมาก ท่านผู้ฟังเข้าใจว่า พอได้ยินบรรพเดียว ก็รู้อย่างเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ที่บรรพเดียว จะรู้หมดทุกอย่าง เช่น ระลึกรู้ ลักษณะ ของผม รู้ ทางไหน ทางตา ทางจมูก ทางกาย หรือ ทางใจ ที่ว่า "ผม" สติ จะต้องระลึกรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรมที่เป็น ปรมัตถธรรม จึงจะรู้ว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล รู้ว่า ไม่ใช่สิ่งที่เคยยึดถือ ว่า เป็น "ผม" แต่เป็น ลักษณะของ "แข็ง" ที่ปรากฏ ขณะที่กระทบ ทางกายเป็น ลักษณะของ "สี" ที่ปรากฏขณะที่เห็น ทางตา เป็น ลักษณะของ "กลิ่น" ที่ปรากฏขณะที่ได้กลิ่น ทางจมูก ไม่ใช่ สิ่งที่เคยยึดถือ ว่าเป็น เส้นผม สีผม กลิ่นผม แต่เป็นเพียงสภาพธรรม ที่ปรากฏให้รู้ได้ ทางทวารต่างๆ ดังกล่าว
ฉะนั้น จึงไม่มีความเป็น "ผม" ในสภาพธรรมที่ปรากฏเป็นแต่สภาพธรรม คือ ปรมัตถธรรม ที่ปรากฏทางทวารต่างๆ ตามความเป็นจริงผู้ที่อบรมเจริญปัญญา "ปัญญา" จะศึกษา สังเกต สำเหนียก และ "รู้" ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่ปรากฏนั้นๆ ตามความเป็นจริงจนกว่าจะ "ประจักษ์" ชัด ใน "ลักษณะ" ของสภาพธรรมนั้นๆ .
ฉะนั้น จะรู้เพียงอย่างเดียว (ลักษณะเดียว) ป็นไปไม่ได้เลย และไม่ใช่ว่าจะมีแต่การระลึกที่ "ผม" อย่างเดียว ความรู้สึกต่างๆ ก็มี ความทรงจำเรื่องราวต่างๆ ก็มีปรากฏ สืบต่อจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่เรื่อยๆ
วันหนึ่งๆ ถ้าสติไม่เกิด จะไม่รู้เลย ว่า ต่อเรื่องไว้ ยาวแค่ไหน จากเพียงเห็นทางตาขณะหนึ่ง ต่อเป็นเรื่องแล้ว ใช่ไหม ไม่ได้หยุดแค่ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เลยแต่ (คิด) ต่อเรื่องราว เป็นคน ชื่อนั้น ทำอะไร ชอบ หรือ ไม่ชอบ ฯลฯ เป็นเรื่องยาว ติดตาม สืบต่อมาจาก "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ซึ่งถ้า สติ เกิด ระลึกรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ จะไม่ต่อเรื่อง แต่จะตัดเรื่อง เพราะว่า "สิ่งที่ปรากฏทางตา" ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง "สิ่งที่ปรากฏทางตา" เท่านั้น
การหลงยึดถือ ว่าเป็นสิ่งนั้น คนนั้น มีความพอใจ ไม่พอใจ ในสิ่งที่เห็นนั้น มีมากมายเป็นการต่อเรื่อง สร้างเรื่อง จากสิ่งที่ปรากฏทางตา ความจริงแล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตา หาความเป็นตัวตนไม่ได้เลย เหมือนมีสีเยอะแยะ ก็เอามาวาดเป็นรูปต่างๆ เป็นรูปคน รูปสัตว์ รูปสิ่งของ ฯลฯ หาความเป็นตัวตน ในสีต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้ แต่เมื่อนำมาวาดเป็นรูปก็เกิดการยึดถือ ในสี ที่วาดแล้ว ว่าเป็น สิ่งต่างๆ ฉันใด สภาพธรรมตามความเป็นจริง ที่ปรากฏทางตา ก็ฉันนั้น ไม่ต่างกันเลย
อาศัยความยึดถือซึ่งมีมาก ในจิตใจทำให้ยึดถือ สีสัน วัณณะ ที่ปรากฏทางตาว่าเป็นสัตว์ บุคคล และวัตถุต่างๆ แล้วยังต่อเรื่อง สร้างเรื่องคือ "คิดนึก" ถึงสิ่งนั้นๆ ซึ่งไม่มีจริง เพราะความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ความหลงผิดจึงต่อเรื่อง สร้างเรื่อง จากสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเรื่องยาวต่อไปด้วยอำนาจของโลภะ โทสะ โมหะ
นี่คือชีวิต ตามความเป็นจริง ของผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน จึงไม่ระลึกรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง เมื่อเห็น ก็ต่อเรื่องที่เห็นไปอีกไกลเมื่อได้ยิน ก็ต่อเรื่องที่ได้ยินไปอีกไกลได้กลิ่น ดับไปแล้ว ก็ต่อเรื่องอีก เช่น ถ้าเป็นน้ำหอม ก็ (ต่อเรื่อง) เป็นกลิ่นอะไร ขายที่ไหนราคาเท่าไร เมื่อไรจะไปซื้อ ฯลฯ เป็นต้น เป็นเรื่องยาวไหม
จากกลิ่น ที่ปรากฏแล้วดับไป คิดต่อไป ยาวมาก เต็มไปด้วยเรื่องราวต่างๆ ซึ่งทางใจ รับต่อมาจาก ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ด้วยการ ไม่ระลึกรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรมตามความเป็นจริงฉะนั้น เรื่องราวต่างๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบสิ้น จนกว่า "ปัญญา" จะเริ่ม ระลึกรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนา
สัญญาจำคือตัวปัญหา เมื่อ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส ก็จำทันที่ว่าเป็นอะไร จากนั้นก็สร้างเรื่องต่อๆ ไปเรื่อยๆ จนเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นปี จะหยุดการสร้างเรื่องได้ ก็ต้องสติปัฎฐานสร้างปัญญาแทน จากรู้จำ กลายเป็นรู้จริง ครับ
เป็นการสร้างเรื่องจากสิ่งที่ปรากฎจริงๆ และมักเป็นไปกับอกุศลเกือบทั้งนั้นด้วยสิคะ กว่าจะรู้ตัวว่ากำลังคิดนึกเป็นไปในเรื่องราวต่างๆ บางครั้ง...วันทั้งวัน ระลึกไม่ได้เลยว่ากำลังวนเวียนอยู่กับเรื่องราว แม้เรื่องราวจะไม่มีจริง แต่การคิดนึกมีจริง...ก็ตาม
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ