จากการเห็นเพียงครั้งเดียว - วิถีจิต

 
พุทธรักษา
วันที่  5 ม.ค. 2552
หมายเลข  10848
อ่าน  1,196

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล

สำหรับเรื่องของ การที่จะรู้แจ้ง สภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ว่าสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาให้คมกล้า และรู้แจ้งได้เพราะเหตุว่า สภาพธรรมเป็นสิ่งที่ละเอียดมาก

สำหรับความละเอียดของสภาพธรรมจากการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และ การคิดนึกทางใจทั้งหมด ที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เกิดดับ สลับกัน อย่างรวดเร็วมาก

พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงเรื่อง "วิถีจิต" หมายความถึงขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และ คิดนึก สภาพจิต เป็น สภาพที่รู้อารมณ์ถ้ามี จิต แล้ว จะไม่มี อารมณ์ที่ปรากฏให้จิตรู้ ไม่ได้

เมื่อมีสภาพรู้ ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้แต่ว่า จิตบางขณะ ไม่ใช่วิถีจิต เช่น ขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่รู้รส ไม่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ขณะนั้น แม้จิตจะเกิด กระทำกิจรู้อารมณ์แต่ไม่ปรากฏ อารมณ์ที่จิตรู้ เช่น เมื่อปฏิสนธิจิต เกิดขึ้น แม้ว่าจะมีอารมณ์ ของ ปฏิสนธิจิตแต่ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ อารมณ์ของปฏิสนธิจิตได้

เพราะฉะนั้น เวลาที่ปฏิสนธิจิตเกิด แม้ว่าจิตขณะนั้นรู้อารมณ์แต่ ไม่ใช่รู้สิ่งที่ปรากฏ คือ ไม่ใช่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัสและ ไม่ใช่การคิดนึกเป็นเรืองราวต่างๆ ทางใจ

ขณะนั้น เป็นจิตที่ "ไม่ใช่วิถีจิต" เป็นจิตที่ พ้นวิถีแต่ จิตในขณะที่พ้นวิถีนั้น ก็ต้องมีอารมณ์.

เมื่อปฏิสนธิจิต เกิดขึ้น และดับไปแล้ว ระหว่างที่ยังไม่มีการเห็น (เพราะว่าเป็นการเกิดในครรภ์ของมารดา) ยังไม่มี จักขุปสาท โสตปสาท ฆานะปสาท ชิวหาปสาท กายปสาทจึงยังไม่สามารถที่จะรู้อารมณ์ ทางหา หู จมูก ลิ้น กาย

ระหว่างปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น และดับไปแล้วมี ภวังคจิต เกิดดับสืบต่อไว้ เป็นเหตุให้ยังไม่ถึงการสิ้นชีวิตไป โดยขณะที่ยังไม่มีอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่จะมีการรู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ในภายหลัง

ภวังคจิต เกิดดับสืบต่อจาก ปฏิสนธิจิต กระทำ ภวังคกิจ ซึ่งหมายถึง การสืบต่อ ดำรงภพชาติจนกว่าจะมีอารมณ์ปรากฏ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ คิดนึกทางใจ

แม้ในขณะนี้ ก่อนการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส สัมผัส และคิดนึกก็จะต้องมี ภวังคจิต เกิดดับ สืบต่อ หลายขณะทีเดียว

ขณะที่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏได้เพราะมี "จิตเห็น" จิตเห็น เป็น จักขุวิญญาณ เมื่อกำลังเกิด ก็ทำกิจเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก่อน การเห็น แต่ละขณะ ต้องมี ภวังคจิต เกิดดับมากมายเมื่อผัสสเจตสิก เกิดกับจิตเห็น คือมีการกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา (คือ สี) มีการเริ่มที่จะรำพึง หรือ การน้อมไปสู่อารมณ์ที่ปรากฏทางตาจิตในขณะนั้น กระทำกิจ คือ "อาวัชชนะ"ได้แก่ "ปัญจทวาราวัชชนะ" กระทำอาวัชชนะกิจ (ถ้าเป็นการเห็น จักขุทวาราวัชชนะจิต ก็กระทำอาวัชชนะกิจ คือการรำพึงถึงอารมณ์) หมายความว่า ขณะนั้น ยังไม่เห็น แต่เป็น ภวังคจิต เกิดดับสืบต่ออยู่เรื่อยๆ ต่อจากนั้น จักขุวิญญาณจิต ก็เกิดขึ้น กระทำกิจเห็นคือ เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เพียงขณะเดียวเท่านั้น แล้วดับไปทันที

ต่อจากนั้นก็เป็นจิตที่รับรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ต่อจากจักขุวิญญาณคือ สัมปฏิจฉันนะจิต กระทำกิจ รับอารมณ์ไว้ด้วยดี แล้วดับไป

ต่อจากนั้น สันตีรณจิต ก็เกิดขึ้น กระทำกิจพิจารณาอารมณ์ที่ปรากฏ แล้วดับไป

ต่อจากนั้น โวฏฐัพพนจิต ก็กระทำกิจ มนสิการอารมณ์ที่ปรากฏซึ่งแล้วแต่ว่า ปัจจัยที่สะสมมาในจิตของบุคคลนั้นๆ จะเป็นเหตุให้เกิดกุศลจิต หรือ อกุศลจิต

และเมื่อโวฏฐัพพนจิต ดับไปแล้ว ต่อจากนั้น ชวนจิต เป็นสภาพจิตที่ชอบ หรือไม่ชอบ ในอารมณ์ที่ปรากฏสภาพจิตขณะนั้น เป็นโลภะ โทสะ หรือโมหะ ที่เกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ

ต่อจากนั้น ตทาลัมพนะจิต อีก ๒ ขณะ กระทำกิจรู้อารมณ์ต่อจาก ชวนจิตต่อจากนั้น ก็เป็นภวังคจิตเกิดดับสืบต่อ อีกมากมาย

ฉะนั้น สภาพธรรม ที่ปรากฏเสมือนไม่ดับ ในขณะที่กำลังเห็น ขณะนี้แท้จริงแล้ว จิตเกิดดับสลับกันมากมาย หลายประเภท

ด้วยเหตุนี้ สภาพธรรมที่ปรากฏจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก

เห็นทางตาแล้ว ทางใจยังรับรู้ จดจำสิ่งที่เห็น จดจำรูปร่าง สัณฐานที่ปรากฏแล้วยึดถือว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เกิดขึ้นทางมโนทวารวิถีจิตทำให้เกิดเป็นเรื่องราว ความยินดี ยินร้าย ต่างๆ

จักขุทวารวิถีเกิดขึ้น รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วดับไปต่อจากนั้น ภวังคจิต ก็เกิดดับสืบต่อ อีกมากมายแล้ว มโนทวาราวัชชนะจิต ก็รับรู้ สิ่งที่ปรากฏทางตา ต่อแล้ว ภวังคจิต ก็เกิดดับสืบต่อ อีกมากมาย ต่อจากนั้น ก็แล้วแต่เหตุปัจจัย ว่าจะเป็นวิถีจิตทางทวารไหนเกิดต่อ

นี่เป็นการแสดงธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้ผู้ฟังไม่เข้าใจผิด ไม่คิดว่าสามารถระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมได้ โดยง่าย และประจักษ์การเกิดดับได้โดยง่าย

เพราะว่า แม้สภาพธรรมซึ่งกำลังปรากฏเกิดดับสืบต่ออยู่ในขณะนี้สำหรับผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญปัญญา อวิชชา ก็ปิดบังไม่ให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เช่น ขณะนี้นะคะ ทุกครั้งที่เห็น ว่า เป็นคน สัตว์ สิ่งต่างๆ และไม่มีการระลึกรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริง จะแยกได้อย่างไรว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานั้นไม่ใช่ "ขณะที่รู้" ว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นอะไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
พุทธรักษา
วันที่ 5 ม.ค. 2552

นี่เป็นสิ่งที่ต้องอบรมเจริญปัญญา จึงจะรู้ได้ขณะนี้ ระลึกรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏทางตา เพื่อที่จะรู้ ความแตกต่าง ว่า ขณะที่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่ขณะที่ รู้ความหมาย ของสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะว่า การรู้ความหมาย ต้องเกิดทางมโนทวาร ไม่ใช่ ทางจักขุทวาร

ฉะนั้น ถ้าท่านผู้ฟัง เป็นผู้ที่ไม่ประมาท รู้ว่า สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นของจริง ซึ่งสามารถระลึก และศึกษา สังเกต สำเหนียก จนสามารถ แยกสภาพธรรม ที่ปรากฏ เสมือนติดกันแน่น ออกจากกันได้จึงจะเป็นการรู้ ลักษณะ ของสภาพธรรม แต่ละลักษณะตรง ต่อลักษณะ ของสภาพธรรมนั้นๆ จริงๆ เช่น ทางหู ได้ยิน กับ รู้ความหมายที่ได้ยิน เป็นคนละขณะขณะที่ได้ยิน ก็เพียงได้ยินเท่านั้นได้ยินเกิดแล้วดับไป อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรู้ความหมาย มีช่องว่าง ระหว่างการได้ยิน กับ การรู้ความหมาย หลายขณะจิตจิตเกิดดับ ทางโสตทวารวิถี แล้วเป็นภวังคจิต แล้วเป็นมโนทวารวิถี แล้วรู้ความหมายของเสียงที่ได้ยิน

แต่ความรวดเร็วนี้ เสมือนกับว่า ทันทีที่ได้ยิน ก็รู้ความหมายเลย แท้จริงแล้ว เมื่อเป็นการตรึก นึกถึงความหมาย ก็ไม่ใช่ขณะที่ได้ยินแล้ว ขณะที่กำลังเข้าใจคำ เข้าใจความหมายต้องมีสภาพธรรมที่ตรึก หรือ นึกถึงความหมาย ในขณะนั้นจึงจะเข้าใจความหมายนั้น.ฉะนั้นขณะที่กำลัง "เข้าใจความหมาย" ขณะนั้น ไม่ใช่ ขณะที่กำลัง "ได้ยิน"

ไม่ว่าจะเป็นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็โดยนัยเดียวกันเช่น ทางตา ต้องมีการเห็นก่อนจึงตรึกถึงรูปร่าง สัณฐาน ของสิ่งที่เห็น แล้วจึงจะรู้ว่า สิ่งที่เห็นนั้น เป็นอะไรหากปราศจากการตรึก นึกถึงรูปร่าง สัณฐาน จะไม่มีการรู้เลย ว่าสิ่งที่ปรากฏ เป็นอะไร

ปัญญาที่รู้ ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ แต่ละลักษณะ ตรงตามความเป็นจริงต้องเกิดก่อน ต้องอบรมจนชิน จนละคลาย การยึดถือสภาพธรรมนั้นๆ ว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจึงจะสามารถประจักษ์ การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมนั้นๆ ได้จริงๆ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สุภาพร
วันที่ 6 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
choonj
วันที่ 6 ม.ค. 2552

แล้วทั้งหมดนี้ก็ต้องรู้ทางมโนทวาร สติปัฎฐานก็ยากอย่างนี้นี่เอง สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก ชั่วลัดมือเดียวก็นับไม่ได้ขณะแล้ว ตอนนี้ก็ได้แค่คำนวนว่า วิถีจิตเป็นอย่างนี้ๆ เท่านั้นเอง จิตดวงนี้เกิดดวงนี้ต่อ แต่จะให้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงคงอีก นานน้านนาน สงสัยจริงๆ ผู้ประจักษ์ท่านรู้ได้ยังไง ครับ ผมไปไหว้พระที่ไหนก็อธิษฐานว่าขอให้ได้เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง คงจะผิดหวังไปอีกนาน เมื่อไรก็เมื่อนั้น ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
majweerasak
วันที่ 6 ม.ค. 2552

นี่เป็นการแสดงธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้ผู้ฟังไม่เข้าใจผิดไม่คิดว่าสามารถระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมได้ โดยง่ายและประจักษ์การเกิดดับได้โดยง่าย

ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่มีส่วนเกื้อกูลให้ได้ฟัง และพิจารณาพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 6 ม.ค. 2552

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
suwit02
วันที่ 6 ม.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
orawan.c
วันที่ 7 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornpaon
วันที่ 10 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 23 มิ.ย. 2553

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ