เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ กรรมของท่านเอง
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
วันนี้ขอตอบจดหมาย ของท่านผู้ฟัง จากบ้านเลขที่ ๑๕๖๙ ถนนพระราม ๔ สามย่าน กรุงเทพฯ ซึ่งคำถามของท่าน มีว่า ในเมืองไทย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น เจ้าที่ พระภูมิ พระพรหมท่านเหล่านี้มีจริงหรือ ช่วยได้จริงหรือ ถ้าเป็นจริง ทำไมชาติเรา ไม่เจริญเท่านานาประเทศ (ซึ่งไม่ได้ดูหมอ เข้าทรง) คำถามมีต่อไปว่า ถ้าไม่ไหว้ ไม่เซ่น จะมีโทษไหม
อีกคำถาม ถามว่า การเจริญกัมมัฏฐาน ทำให้คนบ้า จริงหรือ.?และการเจริญกัมมัฏฐาน จำเป็นต้องมีคนคุมทุกครั้ง จริงหรือ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ควรทำได้ทุกที่ ไม่ว่าเวลาใด สถานที่ใด จริงหรือไม่
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ถ้ายังมีความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ความไม่รู้ ความสงสัย ในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏจะทำให้ความเข้าใจผิด ความเห็นผิด เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกลายเป็นความเห็นผิดที่ใหญ่หลวง หรือ เป็นโทษ เป็นอันตรายมากเพราะฉะนั้น ความเห็นผิดจะเริ่มจากทีละเล็ก ทีละน้อยก่อน
สำหรับคำถามที่ว่า ในเมื่องไทย มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น เจ้าที่ พระภูมิ พระพรหม ท่านเหล่านี้ มีจริงหรือ ถ้าจะถามเพียงว่า กำเนิดอื่น ภพอื่น ซึ่งเป็นเทพ ตามสถานที่ต่างๆ เจ้าที่ก็ดี พระภูมิก็ดี พระพรหมก็ดี ท่านเหล่านี้ มีจริงหรือ ก็จะทราบได้ว่า กำเนิดต่างๆ นอกจากกำเนิดของมนุษย์นั้น มีอยู่จริงตามควรแก่เหตุปัจจัย
ถ้าเป็นเทพ เทวดา ก็ต้องเป็นผลของกุศลกรรม ซึ่งทำให้เกิดเป็นเทวดาถ้าเกิดเป็นพรหม ก็ต้องเป็นผลของอัปปนาสมาธิ การเจริญสมถภาวนาโดยสามารถที่จะระงับ โลภะ โทสะ โมหะ ได้โดยไม่เสื่อมคือหมายความว่า แม้ตอนที่ใกล้จะจุติ สิ้นชีวิตอัปปนาสมาธิ ก็สามารถที่จะเกิด และจิตในขณะนั้น ก็เป็นรูปาวจรจิต หรือ อรูปาวจรจิตดังนั้น พระพรพหม จึงมีจริง
แต่ที่ท่านถามว่า ในเมืองไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายทำไมเข้าใจว่า เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คะ เทพ ศักดิ์สิทธิ์ อย่างไร พรหม ศักดิ์สิทธิ์ อย่างไร มนุษย์ ศักดิ์สิทธิ์ไหมคะ
สามารถที่จะบันดาลให้คนอื่นเป็นอย่างไรเรียกว่าศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ทำไมจึงกล่าวว่า ศักดิ์สิทธิ์ มีอะไร ทำให้คิดว่า ศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าทุกคน มีกรรมเป็นของตนเอง
ไม่ว่าท่าน จะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส เป็นสุข เป็นทุกข์ อย่างไรก็ตามถ้าท่านไม่มีกรรม ที่ท่านได้กระทำไว้แล้วเป็นเหตุเป็นปัจจัยสภาพธรรมเหล่านั้น ก็ไม่สามารถเกิดขึ้นกับท่านได้
แต่ละบุคคล ในวันหนึ่งๆ ก็มีทุกข์ มีสุข ต่างกันไปอารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ต่างกันไป ตามเหตุตามปัจจัยคือ กรรม ของแต่ละท่าน ซึ่งได้กระทำแล้วในอดีตเป็นปัจจัยที่พร้อมจะให้มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ต่างๆ กันไป แล้วแต่ กรรม ของท่านเอง
เพราะฉะนั้น ทำไมจึงกล่าวว่า เทวดา หรือพรหม ศักดิ์สิทธิ์ สำหรับข้อความที่ว่า ช่วยได้จริงหรือ ช่วยอย่างไรคะ ทุกคน มีกรรม เป็นของตนเอง.
ฉะนั้น สิ่งที่ท่านได้รับอยู่ ก็ย่อมเป็นไป ตามกรรม ของท่านเองถ้าท่านกระทำกรรมดี แม้ในมนุษย์โลก ก็ยังมีคนอุปถัมภ์ ช่วยเหลือท่าน
มีท่านผู้ฟัง ท่านหนึ่ง ได้เล่าถึงเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้น ให้ฟังว่าวันหนึ่ง ท่านขับรถไปกับลูกชายเล็กๆ แล้วรถก็เกิดตกไปข้างทางแต่ทันที ที่รถของท่าน ตกลงไปข้างทาง รถที่ขับมาข้างหลัง เป็นรถจี้ปที่มีอุปกรณ์ครบ พร้อมที่จะฉุดขึ้น รถที่ตามมานั้นก็จอดแล้วช่วยฉุดรถของท่านขึ้นมาจากข้างทางนั้นได้
เพราะฉะนั้น บุญ เหมือนญาติสนิท ซึ่งจะติดตามคุ้มครองรักษาช่วยเหลือแก้ไขเหตุการณ์ต่างๆ ให้ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ ได้และท่านผู้นั้น ก็ระลึกได้ว่า ถ้ามีผล จากอกุศลกรรม ก็คงต้องคอยไปอีกนาน กว่าจะมีผู้อื่นมาช่วยเหลือได้
แม้ในมนุษย์โลกถ้าท่านเป็นผู้ที่ได้กระทำกุศลกรรมไว้กุศลกรรม ย่อมให้ผลเช่นเดียวกับ อกุศลกรรม ที่ท่านได้กระทำไว้ถ้าท่านได้รับ ผลของอกุศลกรรม ก็เพราะอดีตอกุศลกรรม ของท่านเอง
ส่วนที่จะมีใครช่วยได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่กุศลกรรมของท่านอีกถ้าท่านเป็นผู้ที่ได้กระทำกุศลกรรมไว้ แม้เป็นมนุษย์ ก็มีผู้ที่จะช่วยท่านได้ไม่จำเป็นต้องคิดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นใดเลย
ส่วนข้อความ ที่ท่านสงสัยว่า ประเทศของเรา ทำไมไม่เจริญเท่านานาประเทศซึ่งไม่ได้ดูหมอ เข้าทรง แต่เขาเจริญรุ่งเรืองมากอันนี้ ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่า ถ้าบุคคลใดมีความมั่นใจ ในกรรมของตนเองจริงๆ ก็ย่อมจะเจริญ เพราะกุศลกรรม ซึ่งทำให้ได้รับ กุศลวิบาก โดยที่ไม่จำเป็นต้อง เข้าทรง หรือว่า ดูหมอ
เรื่องของโหราศาสตร์นั้น เป็นเรื่องที่มีผู้ศึกษาแต่เรื่องของกรรม ก็เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนมากทีเดียวเพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะมีนักโหราศาสตร์ที่ได้ศึกษา ค้นคว้า มากสักเท่าไรและรู้แนวของกรรม ซึ่งพร้อมจะให้ผลได้ ก็จริง
แต่ว่า เรื่องของกรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมากซึ่งบุคคลใด ก็ไมสามารถที่จะทราบได้ว่า แต่ละท่านได้กระทำกุศลกรรม และ อกุศลกรรม ไว้มากน้อยเท่าไรเมื่อความละเอียดของกรรม ไม่สามารถที่จะรู้ได้
ดังนั้น แม้ว่าผู้ที่ได้ศึกษาโหราศาสตร์มามาก ก็มีความรู้เพียงการ พยากรณ์ถึงแนวทางของกรรม ซึ่งอาจจะมีโอกาส หรือ อาจจะควรแก่การให้ผลแต่อาจจะไม่พร้อมที่จะให้ผลก็ได้ เพราะยังมีกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งละเอียด ซับซ้อนและไม่มีใครที่สามารถจะรู้ เรื่องของกรรม ได้ตลอด อย่างแท้จริงดังนั้น กรรมอื่นๆ อาจจะเกิดขึ้น ให้ผลก่อนก็ได้.
สำหรับเรื่อง การเข้าทรง ไม่มีกล่าวไว้ หรือแสดงไว้ในพระไตรปิฎกก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องที่ เป็นสาระ หรือ เป็นประโยชน์ที่จะเกื้อกูลต่อการรู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์
ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเป็นผลของกรรม แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไปดูหมอไปถามผู้เข้าทรง เมื่อปีใหม่นี้ก็ไปถามมา แต่ถามมาแล้วก็จบเหมือนกับหวังแล้วก็แบมือว่างเปล่า ที่ไปถาม เพราะนิยมกันมาก และอยากรู้ว่า เข้าทรงดูหมอเป็นยังไง น่ารู้นะครับเข้าทรงในพุทธกาลก็มี ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ถ้าสิ่งใดที่บันดาลได้เรียกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะมีอะไรศักดิ์สิทธิ์เท่ากรรม เพราะไม่มีอะไรบันดาลได้นอกจากกรรมที่บุคคลแต่ละคนได้ทำไว้ครับ
ส่วนในประเด็นเรื่องเข้าทรงในสมัยพุทธกาลตามที่ทำกันในสมัยนี้ที่เรียกเทวดาต่างๆ มาเข้าไม่มีครับ ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้น เทวดาหรือมารมาเข้าเองเพื่ออนุเคราะห์บุคคลนั้น เป็นต้น เช่น สานุสามเณร ยักษ์เข้าสิงเพราะต้องการอนุเคราะห์ให้สามเณรบวชต่อไป แทนที่จะสึกครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนำข้อความเกี่ยวกับ การเข้าทรง หรือ ผีเข้าจากการอธิบายของท่านอาจารย์สุจินต์ มาแสดง เพื่อประกอบการพิจารณาต่อไปลองอ่านดูนะคะ
ท่านผู้ฟัง การเข้าทรง หรือ ผีเข้า...เหมือนกันไหมครับ
ท่านอาจารย์ ในพระไตรปิฎก ไม่ได้แสดงไว้เลย
ท่านผู้ฟัง ก็ในพระปาติโมกข์ จะเลิกได้ด้วย ๔ ประการ คือ เมื่อภิกษุมีผีเข้าก็ให้เลิกทำสังฆกรรมได้ นี่เหตุหนึ่ง
ท่านอาจารย์ ในพระไตรปิฎก มีข้อความตอนผีเข้า มีข้อความเรื่องมารดลใจแต่ไม่ใช่เรื่อง เข้าทรง สภาพของจิตที่มีกำลัง ก็สามารถที่จะชักนำจิตของคนอื่น ให้คล้อยตามได้.
ถ้าท่านศึกษาในพระไตรปิฎก จะเห็นว่า หลายครั้งที่มีเรื่องของมารดลใจอย่างเช่นตอนที่พระผู้มีพระภาคเสด็จไปบิณฑบาตแล้วมารก็ดลใจชาวบ้าน ทำให้ไม่มีใครใส่บาตร เพราะว่า มารสามารถดลใจให้ชาวบ้าน สนใจในสิ่งอื่นสร้างเหตุอื่นขึ้นมา ทำให้สนใจเหตุอื่น
และในบางแห่งในพระไตรปิฎก ก็กล่าวถึงด้วยค่ะ ว่าที่เรียกว่าผีเข้านั้น หมายถึง โรคลมบ้าหมู
ในพระไตรปิฎกได้แสดงธรรมที่เป็นเหตุ และผลฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ถ้าศึกษาในเหตุและผล ก็เข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นผลนั้น ต้องมาจากเหตุที่สมควรแก่เหตุการณ์นั้นๆ ด้วยแต่พระไตรปิฎกไม่มีเรื่องของการเข้าทรง แสดงไว้เลย
เพราะว่าในพระไตรปิฎกนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงแสดง ธรรมที่เป็นสาระประโยขน์
สำหรับผู้ที่ศึกษา จะได้เข้าใจ และ ประพฤติปฏิบัติตามเพื่อ ปัญญา สามารถที่จะรู้แจ้งลักษณะของสภาพธรรมตามปกติ ตามความเป็นจริงได้
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ คุณพุทธรักษา ที่เอามาลงให้อ่าน ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมายเกียวกับการเข้าสิงเข้าทรง ซึ่งผมเข้าใจว่าจะทำได้ก็ต่อเมื่อผู้ให้เข้ายินยอม ถ้าไม่ยอมก็เข้าไม่ได้ แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ที่เขียนมารู้ว่าไม่ใช่ข้อปฎิบัติ แต่เพื่อให้เข้ากับกระทู้ ที่พูดถึง เทพ พรหม พระภูมิ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เลยคิดถึงหมอดูซึ่งนิยมกันมาก ผมก็ชอบดูเวลาได้รับกาลวิบัติต้องการกำลังใจ ก็ดูแก้เซ็งเท่านั้นเอง ครับ
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมว่า พุทธบริษัทไม่ควรเชื่อในมงคลตื่นข่าวใดๆ เพราะว่ามงคลตื่นข่าวทั้งหมดเป็นความเห็นผิด เป็นความเชื่อถือตามๆ กันมาอย่างผิดๆ ซึ่งไม่เป็นไปเพื่อการประพฤติปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรม ไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่เป็นไปความสงบระงับจากอกุศล ไม่เป็นไปเพื่อการอบรมเจริญปัญญาเพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม พระองค์ทรงแสดงธรรมให้สาวกได้สมาทานอาจหาญ ร่าเริง ในกุศลธรรม พุทธบริษัทผู้มีปัญญา เป็นผู้มีความมั่นคงในกรรมและผลของกรรม เชื่อในการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาค เชื่อในเหตุและผลของธรรม ฟังแล้วพิจารณาใคร่ครวญแล้ว จึงน้อมประพฤติปฏิบัติตามโดยความเคารพ ด้วยเกิดปัญญารู้ชัดเห็นแจ้งในธรรมที่ทรงแสดงครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นที่พึ่งของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์อยู่ มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เข้าไปเฝ้าพระองค์ ก็เพื่อจะได้ฟังพระธรรม เพื่อบรรลุคุณวิเศษประการต่างๆ อุปมาเหมือนกับต้นไม้ใหญ่ที่ผลิตผลตามฤดูกาล ย่อมเป็นต้นไม้ที่ฝูงนกเป็นต้นเข้าไปหา โดยหวังว่าจะได้จิกกินผลไม้ดังกล่าว ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าจากการศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาก็จะได้พบข้อความที่แสดงว่ามีเทวดาลงมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เพื่อฟังธรรม หรือบางครั้งก็ทูลถามปัญหากับพระองค์ (ไม่มีการเชิญ แต่มาเพราะเห็นประโยชน์) และได้บรรลุคุณวิเศษเป็นพระอริยบุคคล ก็มีเป็นจำนวนมาก ถ้าจะกล่าวตามสภาพธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากสิ่งที่มีจริง คือ จิต เจตสิก รูป เพราะมีเหตุที่ได้กระทำแล้ว จึงทำให้ได้เป็นเทวดา ต้องเป็นผลของกุศลกรรมอย่างแน่นอน
ดังนั้น จึงไม่มีอะไรที่จะยุติธรรมเท่ากับกรรม กรรมยุติธรรมที่สุดในการให้ผล เพราะเหตุว่า การที่ได้รับสิ่งที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาในชีวิตประจำวันนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเท่านั้นที่เป็นเหตุให้ผลเกิดขึ้น จึงไม่มีใครทำอะไรให้ได้เลย ดังนั้น ผู้ที่อบรมเจริญปัญญา เห็นโทษของอกุศล พร้อมทั้งเห็นคุณของกุศล ย่อมจะเป็นผู้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาททั้งในอกุศลแม้จะเล็กน้อย และไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ซึ่งเป็นไปตามการสั่งสมมาของแต่ละบุคคล ผู้ที่เข้าใจพระธรรม ย่อมจะได้รับประโยชน์จากพระธรรม ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอต้อนรับ อาจารย์ครู ปีใหม่นี้หายไปหลายวันเลยไม่ได้ฟังธรรมของอาจารย์
ขออนุโมทนาครับ