โลก ในพระวินัย ของพระอริยเจ้า
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
แนวทางเจริญวิปัสสนาโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
บางท่าน อาจคิดว่า ชีวิตประจำวัน ทุกๆ วันนี้คงจะต่าง กับชีวิตประจำวัน ในครั้งพุทธกาลเพราะโลกเปลี่ยนไป สถานที่ต่างๆ เปลี่ยนไป เครื่องใช้ต่างๆ ก็เปลี่ยนไป ฯลฯ ถึงแม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปมากมายสักเท่าไร ก็ตามแต่ โลก ในพระวินัย ของพระอริยเจ้า ไม่เปลี่ยนเพราะว่า ไม่ว่ายุคสมัยใด ก็มีเพียง โลกที่ปรากฏ เพียง ๖ โลก หรือ ๖ ทาง เท่านั้น คือ "โลก" ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
โลก ในพระวินัย ของพระอริยเจ้า เช่น สภาพธรรมที่ เย็น หรือร้อน อ่อน หรือแข็ง ก็เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏให้รู้ได้ เฉพาะทางกาย เป็นต้นเกิดขึ้น ปรากฏให้รู้ได้ แล้วก็ดับไป ตามเหตุปัจจัยไม่ว่าใครจะเรียก หรือ ไม่เรียก ว่าอะไร ก็ตาม สภาพธรรมนั้น เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น
ไม่มีสิ่งใด ที่ท่านจะยึดถือ ว่า เป็นตัวตน ได้เลยแต่เพราะความไม่รู้ในความจริง ของสภาพธรรม ที่เพียงเกิดขึ้น และดับไป อย่างรวดเร็ว
ชีวิตของบุคคล ในครั้งอดีตซึ่งต้องเหมือนกับชีวิตของบุคคล ในปัจจุบันนี้กิเลสของบุคคลในครั้งอดีต ก็มีมากไม่น้อยทีเดียวถ้าอ่านดูในพระสูตร ก็จะเห็นได้ว่า มีไม่น้อยเลยแต่ด้วยความกรุณา ของท่านพระเถระเหล่านั้นท่านจึงแสดงชีวิตจริงของท่าน ทั้งๆ ที่มีกิเลสมากอย่างนั้นเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่คนในสมัยไหนๆ ซึ่งก็เป็นคนที่มีกิเลส ทั้งนั้น..
ความหนาแน่นในกิเลส ของคนในสมัยพุทธกาลก็ไม่ได้น้อยกว่า กิเลสของคนในสมัยนี้ แต่คนที่มีกิเลสในครั้งพุทธกาลสามารถที่จะละคลายกิเลสได้หมดสิ้นเพราะได้อบรมเจริญอินทรีย์มาแล้ว จึงละความเห็นผิด ละความยึดมั่นในนาม และ รูป ได้ด้วยการอบรมเจริญหนทางปฏิบัติ ที่ถูกต้อง
จึงไม่ควรที่จะละเลยการระลึก ศึกษา และ พิจารณาสภาพของ นามธรรม และ รูปธรรมที่เกิดขึ้น และปรากฏแก่ตัวเองจริงๆ เพื่อละความยึดถือในนามธรรม และ รูปธรรม ว่าเป็นตัวตนมิฉะนั้นแล้ว ก็อาจจะคิดท้อถอย ว่าคนในสมัยนี้ คงจะละกิเลสไม่ได้คงจะละได้ เฉพาะคนในสมัยพุทธกาลเพราะว่าคนในสมัยนั้น มีโอกาสได้ฟังธรรมจากพระโอษฐ์ของพระผู้มีพระภาค
แท้จริงแล้ว คนในสมัยนี้ กับ คนในสมัยพุทธกาลก็มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ และ มีกิเลส เหมือนกันเพราะฉะนั้น ก็ไม่ควรคิดว่า สมัยนี้จะหมดโอกาสหรือว่าสุดวิสัย ที่จะอบรมเจริญสติ อบรมเจริญปัญญา
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์
จะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติ ก็ไม่พ้นไปจาก ๖ ทวาร คือ ตา หู จมูก ล้น กาย ใจ ถึงจะน่าเบื่อก็ออกจากวัฏฏะไม่ได้ ถ้าไม่อบรมเหตุคือการฟังธรรม การพิจารณา การเจริญสติปัฏฐาน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ถ้าไม่มีสภาพธรรมก็ไม่มีโลกที่สมมติกันขึ้นมา ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ ไม่มีสิ่งต่างๆ แต่เพราะมีสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งเป็นโลกในวินัยของพระอริยเจ้า คือโลกตามความเป็นจริง จึงมีสิ่งต่างๆ ที่สมมติขึ้น และสัตว์โลกที่ไม่รู้ความจริงก็ติดในสิ่งที่เป็นเรื่องราว ไม่เข้าใจว่า เป็นเพียงสภาพธรรม ดังเช่นพระอริยเจ้าเข้าใจกัน
ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ต้องเข้าใจโลกในพระวินัยของพระอริยเจ้า ไม่เคยเปลี่ยนไม่ว่าอีกกี่แสนโกฏิกัปป์ เป็นโลกของสิ่งที่มีจริง
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
โลก เป็นสภาพธรรมที่แตกดับ โดยแสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมทั้งหมด คือ จิต เจตสิก และรูป ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนสัตว์บุคคล สภาพธรรมทั้งปวง ไม่มีเปลี่ยนแปลง เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใดก็ตามโลกในวินัยของพระอริยะ จึงเป็นโลกที่รู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ไม่พ้นไปจาก ๖ ทางนี้เลย ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้อบรมเจริญปัญญาย่อมไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงหลงผิดยึดถึอในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ได้อบรมเจริญปัญญา ย่อมรู้ ย่อมเห็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่าเป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้น ดังนั้นการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา จึงเป็นประโยชน์มากในชีวิตประจำวัน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...