ความหนาวไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริง
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาว แต่เมื่อได้ศึกษาพระธรรม ความหนาว (เย็น) ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงตราบใดที่มีกาย ความหนาวก็สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อปัจจัยพร้อม บางท่านก็ไม่ชอบหนาว บางท่านก็ชอบหนาว แต่การชอบ ไม่ชอบ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ตัดสินว่าเป็นอารมณ์ที่ดีหรือไม่ดี แต่เมื่อความหนาวเกิดขึ้นมากย่อมเป็นอารมณ์ที่ไม่ดี
ทนหนาวได้ด้วยกุศล
ทนหนาวได้ด้วยความเป็นเรา ทนไม่ได้เพราะเป็นอกุศล ทนไม่ได้เพราะความเป็นเรา รู้ตามความเป็นจริงว่าความหนาวเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เราในขั้นการฟัง รู้ลักษณะของความหนาวเย็นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราจะเห็นได้ว่าทุกคนหากยังเมื่อมีกายก็ย่อมกระทบสัมผัสในอารณ์ที่ดีหรือไม่ดี มีความหนาว เป็นต้น แต่ใครเล่าเมื่อกระทบสัมผัสหนาวแล้วจิตจะเป็นอย่างไร จะรู้ตามความ เป็นจริงหรือไม่ก็ตามแต่การสะสมมาของแต่ละบุคคล จึงเป็นเครื่องเตือนใจให้เข้าใจ ธรรมในความหนาวที่มีในขณะนี้ซึ่งขณะนี้ก็ไม่ใช่มีแต่เพียงแต่สภาพธรรมที่หนาวเย็นเท่านั้นครับที่สำคัญแต่ละท่านกระทบหนาวแล้วเข้าใจอย่างไรบ้าง
เมื่อพระพุทธเจ้าหรือพระอริยสาวกกระทบสัมผัสความหนาวท่านเหล่านั้นพิจารณาอย่างไร
ขอเชิญอ่าน
พระพุทธเจ้าแม้หนาวก็นอนเป็นสุข [หัตถกสูตร]
ไม่สำคัญหนาวและร้อน [มาตังคปุตตเถรคาถา]
ภิกษุเป็นผู้อดทนอย่างไร [นาคสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สามารถอบรมได้ เจริญได้ในชีวิตประจำวัน ทุกสมัย ทุกฤดูกาล เพราะสภาพธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นความจริง ไม่มี-การเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในชีวิตประจำวัน เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม กับ รูปธรรม ชีวิตทุกขณะจิตตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นธรรม ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหน เพราะมีอยู่ทุกขณะ ตราบใดที่ยังมีกาย ก็ย่อมจะมีการกระทบสัมผัสกับอารมณ์ที่น่าปรารถนาบ้าง ไม่น่าปรารถนาบ้าง เป็นเรื่องปกติธรรมดา การที่ได้กระทบสัมผัสกับอารมณ์ที่น่าปรารถนา (อิฏฐารมณ์) เป็นผลของกุศลกรรม ส่วนการที่ได้กระทบกับอารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา (อนิฏฐารมณ์) เป็นผลของอกุศลกรรม ซึ่งไม่มีใครจะลวงสภาพจิตที่เป็นวิบากจิตได้เพราะธรรมเป็นเรื่องจริง ตรง และประการที่สำคัญ คือ เมื่อได้กระทบกับอารมณ์ที่น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนา นั้น จิตเป็นอะไร เป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิต ก็แล้วแต่การสั่งสมมาของแต่ละบุคคล
เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระรรม อบรมเจริญปัญญาบ่อยๆ เนื่องๆ ย่อมจะเป็นไปเพื่อการรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ว่า เป็นธรรม สำหรับพระอริยบุคคลผู้ดับกิเลสได้เด็ดขาดเป็นผู้สิ้นกิเลสแล้ว ไม่ว่าท่านจะกระทบกับอารมณ์ประเภทใดๆ ก็ตาม ย่อมไม่หวั่นไหวไปด้วยอำนาจของอกุศลเลยแม้แต่น้อย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้าเราไม่ได้ฟังพระธรรมจากพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะผ่านกี่ร้อน กี่ฝน กี่หนาวจะประสบกับความแปรปรวนของสภาพอากาศกี่ปี กี่ชาติเราก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่า "สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา" ได้เลยครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
อนุโมทนาค่ะ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงในกาลนี้ดีค่ะ
ขันตี ปรมัง ตโปตีติกขา ขันติเป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
ขออนุโมทนาความเห็นที่ ๓ อาจารย์ คำปั่น ดังนั้น จึงไม่สะทกสะท้านเพราะทุกอย่างเป็นธรรม เกิดแล้วก็ดับ ทีสำคัญก็คือการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนี่สิเมื่อไหร่หนอ เมื่อไรก็เมื่อนั้น ครับ
ปุถุชนยังหวั่นไหว พระอรหันต์ท่านไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ สุขอื่นยิ่งกว่านิพพานไม่มี
...เมื่อก่อน...เดือดร้อนกับความเย็นความร้อนมากกว่านี้ ด้วยการบ่นมากบ้างน้อยบ้าง เมื่อค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ศึกษาธรรมะ จึงค่อยเริ่มเข้าใจบ้างว่า ทุกอย่างเกิดแล้วเพราะมีเหตุ และทุกอย่างล้วนเป็นสภาพธรรม เมื่อยังมีกาย การกระทบสัมผัสถึงอย่างไรก็ต้องมี อุณหภูมิเดียวกัน บางบุคคลรู้สึกเป็นสุขเวทนา บางบุคคลรู้สึกเป็นทุกขเวทนา โดยส่วนตัวยอมรับว่าเป็นทุกขเวทนา ทุกข์เพราะความเป็นเรา ไม่ใช่รู้ว่าทุกข์เพราะรู้ว่าเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา
ขออนุโมทนาคุณเผดิม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะทุกท่านค่ะ