กุสินารา ณ มกุฏพันธนเจดีย์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากหนังสือพระพุทธกิจ ๔๕ พรรษาเรียบเรียงโดย คุณสุรีย์ และเรือโท วิเชียร มีผลกิจ จัดพิมพ์และเผยแพร่ โดย คณะสหายธรรม
สมัยนั้น เมืองกุสินารา ดารดาษไปด้วยดอกมณฑารพ โดยถ่องแถว ประมาณแค่เข่าครั้งนั้น พวกเทวดา และ พวกเจ้ามัลละ แห่งกรุงกุสินารา ได้กระทำการสักการะ บูชา พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดอกไม้ของหอมทั้งที่เป็นทิพย์ และ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แล้วได้อัญเชิญพระบรมศพ ไปทางทิศอุดร ออกไปทางทวาร ทิศบูรพา แล้ววางพระสรีระ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า บนจิตกาธาน ณ มกุฏพันธนเจดีย์
สมัยนั้น ท่านพระมหากัสสปะเถระ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูปเดินทางจาก เมืองปาวา มาสู่ กรุงกุสินาราท่านพระมหากัสสปะเถระ แวะพัก ณ ที่โคนไม้แห่งหนึ่ง
ขณะนั้น อาชีวกคนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพ จากเมืองกุสินารา เดินทางไปสู่เมืองปาวาท่านพระมหากัสสปะเถระ ได้เห็นอาชีวกนั้นมาแต่ไกล
จึงถามอาชีวกนั้นว่า "ดูก่อน ผู้มีอายุ ท่านได้ทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างหรือไม่"
อาชีวกตอบว่า "เราทราบอยู่ พระสมณโคดม ปรินิพพานได้ ๗ วัน เข้าวันนี้ ก็ดอกมณฑารพที่เราถือนี้ เรานำมาจากที่นั้น"
ในอรรถกถา มหาปรินิพพานสูตร กล่าวว่า อาชีวก เอาไม้เสียบดอกมณฑารพ ถือมาดังร่ม เมื่อท่านพระมหากัสสปะเถระเห็นแล้ว คิดว่า ดอกมณฑารพนั้น จะปรากฏในถิ่นมนุษย์ ก็ต่อเมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสด็จลงสู่ครรภ์ ของพระมารดา เป็นต้น แต่ในวันนี้ พระศาสดาของเรา มิได้เสด็จลงสู่พระครรภ์ ทั้งวันนี้ พระองค์ก็มิได้ตรัสรู้ มิได้ประกาศพระธรรมจักร มิได้แสดงยมกปาฏิหารย์ มิได้เสด็จลงจากเทวโลก มิได้ทรงปลงอายุสังขาร แต่พระศาสดาของเราทรงพระชรา คงอาจจักเสด็จปรินิพพานเป็นแน่ พวกภิกษุที่ยังไม่สิ้นราคะ ทราบความนั้นแล้ว เสียใจรำพันอยู่ ส่วนภิกษุผู้ปราศจากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะ พิจารณาอยู่ว่า สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ
บรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ ชื่อ สุภัททวุฒิ นั่งอยู่ในบริษัทนั้น ได้กล่าวกับพวกภิกษุว่า "พวกท่านอย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย เราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้น เบียดเบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้ พวกเราปรารถนาสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น"
ท่านพระมหากัสสปะเถระ ได้ฟังเช่นนั้น คิดว่า พระศาสดาปรินิพพานเพียง ๗ วัน ก็มีเหตุที่จะทำให้สงฆ์ล่วงละเมิดพระวินัยบัญญัติเสียแล้ว จึงดำริให้มีการสังคายนาพระธรรมวินัย เพื่อรวบรวมให้เป็นหมวดหมู่ สำหรับเหล่าสงฆ์จะได้ประพฤติปฏิบัติตาม
ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "ดูก่อน อานนท์ ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาแก่เธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว" จากนั้น ท่านพระมหากัสสปะเถระ เตือนภิกษุทั้งหลายว่า
"พระผู้มีพระภาค ตรัสสอนไว้ก่อนแล้ว มิใช่หรือ ว่าความพลัดพรากจากบุคคล อันเป็นที่รักที่ชอบทั้งหมด ต้องมีสิ่งใดเกิดแล้วมีแล้ว อันปัจจัยปรุงแต่งแล้วย่อมมีความทำลายไป เป็นธรรมดาความปรารถนา ว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย มิใช่ฐานะที่จะเป็นไปได้"
ครั้นท่านพระมหากัสสปะเถระและภิกษุสงฆ์เดินทางมาถึง มกุฏพันธนเจดีย์ ได้เข้าไปยังจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วครองจีวรเฉวียงบ่า ประคองอัญชลี กระทำประทักษิณ จิตกาธาน ๓ รอบ ถวายบังคม ทางด้านพระบาทของพระศาสดา ด้วยเศียรเกล้าแม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้นก็ถวายบังคมพร้อมกัน
เมื่อถวายบังคมแล้ว จิตกาธานของพระศาสดา ก็โพลงขึ้นเอง ด้วยอานุภาพของเทวดา พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถูกเพลิงไหม้หมดแล้ว ท่อน้ำ หลั่งตกลงมาจากอากาศ และ พลุ่งขึ้นจากดิน ดับจิตกาธาน ของพระศาสดา เหลือแต่ พระบรมสารีริกธาตุ
หากมีคำถามว่า เหตุใด พระพุทธองค์ จึงมีพระประสงค์ที่จะเสด็จมาปรินิพพานยังเมืองกุสินารา ทั้งที่จะต้องเดินทางจากที่ ที่พระองค์ประสูติ ตรัสรู้ และ แสดงปฐมเทศนามาเป็นระยะทางทีแสนไกลเช่นนี้
เหตุผลโดยย่อที่แสดงไว้ในอรรถกถา มี ๓ ข้อ คือ
๑. เพื่อแสดง มหาสุทัสสนสูตร เพื่อชนเป็นอันมาก เมื่อฟังธรรมของตถาคตแล้ว จักสำคัญ กุศล ว่า ควรกระทำ
๒. เพื่อทรงโปรด ปัจฉิมสาวก คือ สุภัททปริพาชก ให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
๓. เพื่อ โทณพราหมณ์ จักระงับการวิวาท และทำหน้าที่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุ
ในสมัยแห่งการเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ สาลวัน ใกล้เมืองกุสินารา
ท่านพระอานนท์ทูลขอร้อง ว่า "ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่าเสด็จปรินิพพาน ในเมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมือง เช่นนี้เลย เมืองใหญ่ เช่น ราชคฤห์ สาวัตถี โกสัมพี พาราณสี เหล่ากษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีมหาศาล ที่มีความเลื่อมใสในพระตถาคต มีอยู่มาก ท่านเหล่านั้น จักกระทำสักการะบูชาสรีระ ของพระตถาคตเจ้า"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ กุสินารา แต่ปางก่อน เป็นราชธานี มีนามว่า กุสาวดี พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เป็นกษัตริย์ ได้รับมุรธาภิเษก ทรงเป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นพระเจ้าจักพรรดิกุสาวดี เป็นเมืองมั่งคั่ง รุ่งเรือง มีชนมาก มีภิกษาหาได้ง่าย กุสาวดีราชธานี ไม่เคยเงียบจากเสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียงขับร้อง ฯลฯ ทั้งกลางวัน และ กลางคืน
พระพุทธองค์ทรงตรัสเล่าถึง อานิสงค์แห่งทาน ที่พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงได้รับ ในครั้งนั้นว่า ทุกสิ่งเป็นของเลิศ ที่ไหลมาจากกุศลธรรมอันงาม ที่ทรงบำเพ็ญมาช้านานพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงถวายทาน ในสมณะทั้งหลาย ด้วยสมณบริขารอุปถัมภ์พราหมณ์ ทั้งหลาย ด้วยพราหมบริขาร ทรงดำริ จัดหาความสุข แก่ชาวนครของพระองค์ โดยให้ทาน แก่มหาชนทั้งหลาย ด้วยเครื่องอุปโภค บริโภค และวัตถุที่ต้องการทั้งปวงของชนเหล่านั้นผู้ใดปรารถนาสิ่งใดก็รับเอาไปการงานอย่างอื่น ของชาวนครทั้งหลาย ไม่มีชาวชมพูทวีป บริโภคทานของพระราชา เท่านั้นพระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ทรงประพฤติพรหมจรรย์ทรงเจริญพรหมวิหาร ๔ หลังจากเสด็จสวรรคต ได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก พระพุทธองค์ทรงสอนท่านพระอานนท์อีกว่า
"อานนท์ เธอจงดูเถิด สังขารทั้งเหล่านั้นล่วงไป ดับไป แปรไปหมดแล้ว อานนท์ สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงอย่างนี้ ไม่ยั่งยืน อย่างนี้ ไม่น่ายินดี อย่างนี้อานนท์ ข้อนี้ ควรจะเบื่อหน่าย ในสังขารทั้งปวงเพราะเมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด เพราะคลายกำหนัด จึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณ รู้ว่า ชาติสิ้นแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว"
เมื่อพรรณนา ความรุ่งเรืองของเมืองกุสาวดี ให้ท่านพระอานนท์ฟัง เพื่อแสดงเหตุผล ที่พระองค์เสด็จมาปรินิพพาน ที่เมืองกุสินารานี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
"อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ในสมัยนั้น คือ เราตถาคต ในปัจจุบันเราย่อมรู้ ที่ทอดทิ้งร่างกาย อานนท์ เราไม่เห็นสถานที่ใดในโลกทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ ทั้งสมณพราหมณ์ พร้อมทั้งเทวดา และ มนุษย์ที่ตถาคตจะทอดทิ้งร่างกาย เป็นครั้งสุดท้ายนอกจากสถานที่นี้"
(ความโดยละเอียดอยู่ใน ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสุทัสสนสูตร ข้อ ๑๘๕)
กุสินารา จึงเป็นสถานที่ สิ้นสุดการเดินทาง สิ้นสุดพระโอวาท สิ้นสุดพระพุทธกิจ สิ้นสุดพระชนม์ชีพ สิ้นสุดภพชาติของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์นี้
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์
"ดูก่อน อานนท์ ธรรมวินัยใดอันเราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นศาสดาแก่เธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว"
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษาค่ะ
ได้รู้ได้เข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เคยรู้ไม่เคยเข้าใจมาก่อน
ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้มากค่ะ
กุสินารา จึงเป็นสถานที่ สิ้นสุดการเดินทาง สิ้นสุดพระโอวาท สิ้นสุดพระพุทธกิจ สิ้นสุดพระชนม์ชีพ สิ้นสุดภพชาติของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา พระองค์นี้
ความที่ยังเป็นปุถุชน แม้กำลังศึกษาพระสัทธรรมอยู่และรู้ว่าโทสะและความเศร้าหมองเป็นเรื่องไม่สมควรสะสม ควรขัดเกลา แต่อ่านแล้วน้ำตารื้น ถึงไม่ไหลออกมา ก็ยังรู้สึกได้ว่า หวั่นไหว
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ