คนในสมัยโน้น ไม่สร้างสำนักปฏิบัติ

 
พุทธรักษา
วันที่  22 ม.ค. 2552
หมายเลข  10969
อ่าน  2,681

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

แนวทางเจริญวิปัสสนาโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ถ้าคิดว่า คนสมัยโน้น มีศรัทธามากกว่า คนในสมัยนี้ ก็เข้าใจผิด เพราะเหตุว่า คนสมัยโน้น เมื่อได้ฟังพระธรรม และมีศรัทธาแล้วไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือไม่ว่าจะเป็นทาสี ก็อบรมเจริญสติปัฏฐาน

เมื่อพูดถึง ศรัทธา ผู้ที่เป็นพระอริยบุคคล ย่อมมีศรัทธา มากกว่าผู้ที่ไม่ใช่พระอริยบุคคลอย่างท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นอุบาสกมีทรัพย์สินเงินทอง บำรุงพระภิกษุสงฆ์แต่ท่าน ก็มิได้สร้างสำนักปฏิบัติ ของคฤหัสถ์

วิสาขามิคารมาตา เป็นพระโสดาบันบุคคลเป็นผู้มีความเลื่อมใส มีศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทอง มีทั้งศรัทธา มีทั้งปัญญา มีทั้งทรัพย์ แต่วิสาขามิคารมาตา ก็ไม่ได้สร้างสำนักปฏิบัติ ของคฤหัสถ์

เป็นเพราะเหตุใด คนในสมัยโน้น จึงไม่สร้างสำนักปฏิบัติของคฤหัสถ์ เป็นเพราะเหตุว่าคนในสมัยโน้นไม่ได้เข้าใจคลาดเคลื่อนในหนทางปฏิบัติ.

ถ้าจะคิดถึง ขุชชุตตรา ซึ่งเป็นอุบาสิกา สาวิกาเป็นเอตทัคคะในทางพหูสูตร เป็นผู้ที่ได้ฟังมากแต่ ขุชชุตตรา ก็ไม่ได้มีสำนักปฏิบัติ.ไม่มีใครตั้งสำนักปฏิบัติในครั้งโน้นเลย.

ใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค ภาค ๑ มิคชาลสูตร ที่ ๑

ที่พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระมิคชาละ ได้ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่พระองค์ตรัสว่า ผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว ผู้มีปกติอยู่ผู้เดียว ฉะนี้ด้วยเหตุเพียงเท่าไรพระเจ้าข้า ภิกษุจึงชื่อว่า มีปกติอยู่ผู้เดียวและด้วยเหตุเพียงเท่าไร ภิกษุจึงชื่อว่า อยู่ด้วยเพื่อนสอง."พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

"ดูกร มิคชาละ รูป ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ (รูป) อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ให้เกิดความรัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ ถ้าภิกษุยินดี กล่าวสรรเสริญ แสดงความหมกมุ่นใน รูปนั้นอยู่ ย่อมเกิดความเพลิดเพลิน เมื่อมีความเพลิดเพลิน ย่อมมีความกำหนัดกล้า เมื่อมีความกำหนัดกล้า ก็มีความเกี่ยวข้อง

ดูกร มิคชาละ ภิกษุ ผู้ประกอบด้วยความเพลิดเพลินและมีความเกี่ยวข้อง เราเรียกว่า ผู้มีปกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง." (ตลอดไปจนถึง สัทธารมณ์ ... ธัมมารมณ์ทางใจ) แล้วพระผู้มีพระภาคก็ตรัสต่อไปว่า

"ดูกร มิคชาละ ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ ถึงจะเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าหญ้า และ ป่าไม้ เงียบเสียง ไม่อื้ออึง ปราศจากลมแต่ชนที่เดินเข้าออก ควรเป็นที่ประกอบกิจของมนุษย์ ผู้ต้องการความสงัด สมควรเป็นที่หลีกเร้นอยู่ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง"

ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะผู้นั้น ยังมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง เขายังละตัณหานั้นไม่ได้ ฉะนั้น จึงเรียกว่ามีปกติอยู่ด้วยเพื่อนสอง

โดยนัยตรงกันข้าม ถึงแม้จะเป็น รูปที่น่าพอใจมีอยู่ (และ) เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ที่น่าพอใจ มีอยู่ แต่ไม่ยินดี ไม่กล่าวสรรเสริญ ไม่หมกมุ่น ไม่ประกอบด้วยความเพลิดเพลิน และความเกี่ยวข้อง พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว.

พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

"ดูกร มิคชาละ ภิกษุผู้มีปกติอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ แม้จะปะปนกับ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา มหาอำมาตย์ของพระราชา เดียรถีย์ ในที่สุดบ้านก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังเรียกว่า มีปกติอยู่ผู้เดียว"

เพราะฉะนั้น ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของนามและรูป ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้าง ถึงจะมีคนเยอะ แต่ขณะที่ สติระลึกรู้ลักษณะ ของเสียง หรือ ลักษณะของได้ยินฯ ขณะนั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นหรือบุคคลอื่นเลย ถึงแม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาฯ

บางท่านบอกว่า ที่บ้านของท่าน ไม่สงบแล้วจะทำอย่างไร ในเมื่อเป็นชีวิตจริงๆ ของท่านซึ่งเป็นนามธรรมและรูปธรรมทุกขณะ

การที่จะไม่อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความป็นจริงในชีวิตประจำวัน ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่มุ่งหวังเพียงแต่จะประพฤติตามผู้ที่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรชิต. และในขณะที่กำลังเจริญสมาธิ ในที่หลีกเร้นนั้น จะทำให้ปัญญารู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในชีวิตจริงๆ ได้อย่างไร

พระภิกษุทั้งหลาย ก็อบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน เคลื่อนไหว เหยียด คู้ ประกอบกิจการงาน หรือขณะที่จิตสงบ สติปัฏฐานก็เกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงในขณะนั้นด้วย

คฤหัสถ์ทั้งหลาย ก็อบรมเจริญปัญญาเช่นเดียวกับพระภิกษุ ไม่ว่าจะนั่ง นอน ยืน เดิน หรือทำกิจการงานใดๆ เพราะปัญญาจะต้องรู้ลักษณะของนามและรูปตามปกติตามความเป็นจริงในชีวิตปะจำวัน

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
aditap
วันที่ 24 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 25 ม.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
narong.p
วันที่ 25 ม.ค. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
pornpaon
วันที่ 26 ม.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 26 ม.ค. 2552
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
hadezz
วันที่ 16 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kammatan.com
วันที่ 16 ก.พ. 2552
อนุโมทนา ครับผม ขออนุญาต เจ้าของกระทู้นำข้อมูลนี้ ไป เผยแพร่ใน //www.kammatan.com/board น่ะครับผม
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุภาพร
วันที่ 17 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 17 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ms.pimpaka
วันที่ 23 ก.พ. 2558

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kullawat
วันที่ 24 ก.พ. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Guest
วันที่ 18 พ.ย. 2558

น้อมกราบ ขออนุโมทนาพระสัทธรรมอย่างยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chaweewanksyt
วันที่ 14 ก.ย. 2561

ขอขอบคุณเจ้าของกระทู้ ที่ทำให้ได้อ่านคำตอบที่เป็นความจริง..และกราบขอบพระคุณทุกท่านที่ทำเวปให้ได้ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถูกต้องรู้ตามได้

ที่สุดเลยคือกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่นำพระธรรมมาอ่านผ่านท่านอาจารย์ ทำให้เข้าใจพระธรรม..กราบอนุโมทนากุศลจิตของท่านอาจารย์สุจิต บริหารวนเขต

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 9 มิ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
Jarunee.A
วันที่ 25 ก.พ. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ