สับสนในชีวิตค่ะ คือ บางท่านแนะนำให้ไม่ทำงาน ให้เร่งมาฟังธรรม

 
สามาวดี
วันที่  2 ก.พ. 2552
หมายเลข  11084
อ่าน  1,515

เรียนถามท่านวิทยากรค่ะ

สับสนในชีวิตค่ะ คือ สหายธรรมในมูลนิธิฯ ท่านหนึ่งแนะนำให้ไม่ทำงานมาก ทำงานให้น้อยลง แล้วมาเร่งเอาเวลาทั้งหมดมาฟังธรรมอย่างเดียว ควรเข้าใจอย่างไรดีค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 2 ก.พ. 2552

ในความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่าเป็นคำแนะนำที่ดี แต่ทำตามไม่ได้ เพราะยังมีภาระหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบอีกมาก จะค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ สะสมความเข้าใจให้มากขึ้นตามกำลัง แต่ถ้าท่านใดมีโอกาสของการศึกษาฟังพระธรรมมากขึ้นก็ขออนุโมทนาครับ เพราะ ชีวิตเป็นของน้อย เราเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ควรเริ่มกระทำ ตั้งแต่วันนี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 2 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การศึกษาธรรม เป็นเรื่องที่เบาสบาย (ไม่เครียด) ในแต่ละวันชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมดำเนินไปแตกต่างกัน ไม่มีกฏเกณฑ์ที่ตายตัว และไม่เหมือนกันด้วย บางครั้งบางคราวก็เพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วยอำนาจของกิเลส บางครั้งบางเวลามีโอกาสก็ได้ฟังพระธรรม สั่งสมความเข้าใจถูก เห็นถูกขึ้น ตามแต่โอกาสจะอำนวย เป็นชีวิตปกติ (คงไม่มีใครสามารถฟังพระธรรมได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง) บางครั้งก็มีโอกาสได้สนทนาธรรมกัน เพิ่มพูนความเข้าใจสภาพธรรมยิ่งขึ้น สั่งสมเป็นอุปนิสัยที่ดี ทั้งหมดทั้งปวงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่สามารถที่จะค่อยๆ สั่งสม อบรมเจริญได้ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญคือความเข้าใจ ธรรมเป็นชีวิตประจันมีให้ศึกษาอยู่ตลอด ศึกษาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ชีวิตของคฤหัสถ์ผู้อยู่ครองเรือน จำเป็นต้องมีการประกอบการงาน เพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างไม่ลำบาก ไม่เดือด-ร้อน และการมีอาชีพ มีหน้าที่การงาน นั้น ไม่ใช่ข้ออ้างในการไม่ฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรม (พระอริยบุคคลในอดีต เป็นพระราชาก็มี เป็นพ่อค้าก็มี เป็นคนรับใช้ก็มี เป็นเศรษฐีก็มี เป็นต้น ล้วนมีภาระหน้าที่การงานทั้งนั้น แต่ท่านเหล่านั้น อบรมเจริญปัญญา จึงสามารถดับกิเลสได้) สิ่งสำคัญ คือ จะให้ความสำคัญกับการอบรมเจริญปัญญามากน้อยแค่ไหน ผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม ย่อมให้เวลากับพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 2 ก.พ. 2552

ดิฉันคิดว่า ควรแบ่งเวลาให้ชัดเจนค่ะ ดิฉันก็รู้สึกว่าชีวิตฆราวาสเป็นทางคับแคบมากแต่จะไปบวชชีก็ไม่ควร

เคยได้ยินเรื่อง 2 เรื่อง ที่ว่า อบรมเจริญปัญญาดุจดั่งไฟกำลังไหม้ศีรษะ เพราะโอกาสได้เจริญปัญญามีแค่ไม่กี่สิบปีก็ต้องตายและอาจไม่เจอพระพุทธศาสนาอีกนานแสนนาน เพราะคนเรามีคติไม่แน่นอน ดังนั้นควรมุ่งหาสาระแห่งชีวิตตั้งแต่วัยหนุ่ม

กับอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ที่ไม่หาทรัพย์หรือทำการงานให้ดีแต่วัยหนุ่ม แก่มาจะต้องเดือดร้อน เหมือนจะไม่เข้ากัน

แต่จริงๆ แล้ว ดิฉันคิดว่า ถ้าฟังธรรมที่มูลนิธิ ถึงจะยากลึกซึ้ง แต่ว่าช่วยประคับประคองชีวิตได้จริง โดยไม่เสียการเสียงานค่ะ เพราะ ดิฉันมักจะได้ยินคำว่า "เป็นปรกติในชีวิตประจำวัน" จากมูลนิธิฯ ถ้าหากการทำงานในชีวิตประจำวัน เป็นการประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมได้ก็คงจะดี ไม่สับสน ไม่อึดอัดค่ะ ..

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 2 ก.พ. 2552

แบ่งเวลาในที่นี้ ไม่ใช่หมายถึงแบ่งการฟังธรรมออกจากการทำงานนะคะ

แต่หมายถึง แบ่งเวลาในการจัดการงานค่ะ เพราะถ้าจัดการหรือบริหารงานไม่ดีพอ ก็จะทำให้หมกมุ่นการงานหนักเข้าไปอีก เช่น มีธุระอะไร ก็จดไว้ กันลืม แบ่งโซนเวลาทำงานให้ชัดเจน ไม่ให้งานคั่งค้าง ขณะนั้นก็ระลึกถึงโทษของโทสะไปด้วยก็ได้ ถ้ากำลังเครียดหรือกังวล เป็นสภาพที่ไม่งามเลย เป็นต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Sam
วันที่ 3 ก.พ. 2552

ชีวิตก่อนที่จะได้พบพระธรรมอันประเสริฐ มีทั้งภารกิจการงาน ภารกิจส่วนตัว/ ครอบครัว การหลับพักผ่อน และการบันเทิง ซึ่งทุกคน (ไม่ว่าจะเป็นผู้ศึกษาธรรม หรือไม่) ก็ควรมีการบริหารเวลาในแต่ละวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด

สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม แต่รู้ด้วยตัวเองว่ายังไม่อาจ สละชีวิตการครองเรือน ก็ไม่ควรฝืนใจทำเช่นนั้น และควรพิจารณาครับว่าที่อยาก จะทำเช่นนั้น (เปลี่ยนตัวเองในทางใดทางหนึ่ง) เพราะเหตุใด เพราะความต้องการ ผลหรือเปล่า?

ผมคิดว่าหากผู้ศึกษาธรรมเป็นผู้ที่บริหารเวลาได้ดีอยู่แล้ว จะสามารถจัดลำดับ ความสำคัญของกิจต่างๆ เพื่อการศึกษาพระธรรมได้ เช่นลดเวลาการหลับพักผ่อน หรือการบันเทิงลง เพื่อฟังพระธรรมหรือสนทนาธรรม

ส่วนผู้ที่ศึกษาและมีความเข้าใจพอสมควรแล้ว ความเข้าใจในพระธรรมนั้น อาจเป็นปัจจัยให้ลดการทำงานหาเลี้ยงชีพในส่วนที่เกินจำเป็นลง หรือเกษียณ เร็วขึ้นเพื่ออุทิศตนแด่พระศาสนา หรือ ถึงขั้นสละเพศฆราวาสบวชเป็นบรรพชิต ก็เป็นเรื่องของปัญญาความเข้าใจครับ ซึ่งแต่ละท่านเหล่านั้นจะรู้สิ่งที่ควรสำหรับ แต่ละคนในแต่ละยุคสมัยจริงๆ ไม่ได้ฝืนใจทำเพราะหวังสิ่งใดๆ เลย

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 3 ก.พ. 2552

เหมือนเลือกได้ แต่จริงๆ แล้ว เลือกไม่ได้ เพราะบางครั้งมีความตั้งใจอย่างหนึ่ง แต่ พอถึงเวลาก็เปลี่ยนไปตามการสั่งสมและเหตุปัจจัย แม้แต่เสียงธรรม ก็ไม่ใช่ทุกคนจะ ได้ยินได้ฟัง ต้องเป็นผู้ที่สั่งสมบุญในอดีตมาแล้วจึงจะมีเหตุปัจจัยให้ได้ยินได้ฟังธรรมค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
paderm
วันที่ 3 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

การดำเนินชีวิตประจำวันของแต่ละบุคคล ก็เป็นไปตามอัธยาศัยและเหตุปัจจัยซึ่งพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ได้ทรงแสดงธรรมในเรื่องของประโยชน์ที่ควรให้เกิดขึ้นกับตัวเราเองไว้ คือ ประโยชน์ในปัจจุบันและประโยชน์ในโลกหน้า ประโยชน์ในปัจจุบันคือสิ่งใดที่จะนำความสุขมาให้ ชื่อว่าเป็นประโยชน์ในปัจจุบัน

เช่น การจัดงานดี แสวงหาความรู้ การรู้จักดูแลรักษาสุขภาพ การทำงานเพื่อประโยชน์คือสามารถดำรงชีวิตได้ในปัจจุบันย่อมนำมาซึ่งความสุข นี่คือประโยชน์ในโลกนี้

ประโยชน์ในโลกหน้าคือการทำกุศล บุญกิริยาวัตถุ การฟังพระธรรมอันจะนำความ

สุขมาให้ในโลกหน้าและสะสมปัญญาเพื่อดับกิเลสต่อไปในอนาคต ดังนั้น พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่ได้ละเลยประโยชน์ทั้งสองประการ

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ ....

ประโยชน์ในปัจจุบัน [อรรถกถาอุโภอัตถสูตร]

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 3 ก.พ. 2552

เป็นผู้มีปรกติอบรมสติปัฏฐาน ไม่ผิดปรกติคือมีความต้องการที่เป็นโลภะอยากจะรู้เร็วๆ ด้วยความเป็นตัวตน ที่พยายามจะฟังมากๆ ต่างจากปัญญาที่เจริญย่อมเห็นประโยชน์ ของการฟังพระธรรม มีโอกาสก็ฟังตามเหตุปัจจัยที่จะได้ฟัง ไม่ได้ฟังก็เป็นไปตามเหตุ ปัจจัยแต่ก็ไม่ว่างจากสภาพธรรมที่สามารถให้รู้ความจริงได้ การอบรมปัญญาจึงสามารถ อบรมได้แม้ในขณะทำงานเพราะไม่พ้นไปจากสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจดังนั้นจึงควรพิจารณาว่า ปัญญาเร่งให้เกิดได้ตามใจปรารถนาหรือไม่ หรือเป็นหน้าที่ของธรรมและอนัตตา

ขออนุโมทนาครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ทับทิม
วันที่ 5 ก.พ. 2552
ดิฉันได้รู้จักมูลนิธิฯ และอาจารย์สุจินต์ เมื่อสามปีที่ผ่านมา ดิฉันไปที่มูลนิธิฯ นับครั้งได้ส่วนมากจะไปกราบท่านอาจารย์ ไม่ได้อยู่ฟังการสนทนาธรรม เนื่องจากต้องการอยู่บ้านเป็นเพื่อนแม่ ตลอดสามปีนี้ ดิฉันฟัง MP3 ของมูลนิธิฯ ประมาณสามสิบกว่าแผ่นโดยเวลาที่ได้ฟัง คือ เวลาแต่งตัวตอนเช้า เวลาขับรถมาทำงาน เวลาขับรถกลับจากทำงาน และก่อนนอน เร็วๆ นี้ดิฉันเพิ่มอีกเวลานึงคือ ตั้งใจตื่นเวลา 4.45 ฟัง MP3 การสนทนาธรรมจบหนึ่งตอน แล้วก็อาบน้ำ จากนั้นก็ตามเดิมที่ปฏิบัติอยู่ทุกวันค่ะ และก็เวลาได้มีโอกาสไปกราบท่านอาจารย์ ก็จะซื้อ MP3 แผ่นออกใหม่มาเก็บไว้ ที่มีอยู่ก็อีกประมาณสิบกว่าแผ่นก็จะหมดแล้ว และดิฉันก็จะวนฟังไปเรื่อยๆ จากแผ่นแรกๆ ค่ะ ดิฉันก็จะไม่หยุดฟังนะคะ แม้ว่าจะไม่ได้ไปร่วมสนทนาธรรมที่มูลนิธิฯ ก็ตาม
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
paderm
วันที่ 5 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
suwit02
วันที่ 6 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
natnicha
วันที่ 7 ก.พ. 2552

ความคิดเห็นส่วนตัว การฟังพระธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเรื่องงานก็เป็นเรื่องที่ สำคัญเพราะต้องทำงานหาเลี้ยงตนเองและช่วยเหลือครอบครัว ซึ่งตนเองก็เป็นลูกจ้าง กินเงินเดือนบริษัท โดยส่วนตัวเห็นว่าเราก็ควรจะมีความรับผิดชอบในหน้าที่การงานที่ รับผิดชอบอยู่ให้เต็มที่ ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง และก็ไม่ควรทิ้งการฟัง การศึกษาพระ ธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
chatchai.k
วันที่ 29 ก.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ