เชื่อว่าตายแล้วสูญ ไม่มีการเกิดอีก จะอธิบายอย่างไรดี

 
Guest
วันที่  2 ก.พ. 2552
หมายเลข  11088
อ่าน  5,691

พอจะได้เรียน พระอภิธรรม มาบ้าง มาเจอปัญหาแบบนี้ ไม่ทราบจะตอบเขาอย่างไร มีคำตอบ ให้เข้าใจได้ง่ายว่าเป็นความเชื่อที่ผิด อย่างไรดีคะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 3 ก.พ. 2552
อธิบายโดยเหตุผล ตามหลักพระธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ว่า ธรรมทั้งหลายมีเหตุเป็นแดนเกิด การเกิดสืบต่อกันเป็นไปของรูปนามขันธ์ห้า ย่อมเป็นไปอย่างไม่ขาดสายเรียกว่าวัฏฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตขณะนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฏฏะ ที่เกิดขึ้นมาได้ก็เพราะมีปัจจัยในอดีต เหตุในปัจจุบันนี้ย่อมทำให้ผลเกิดขึ้นในอนาคต การเกิดขึ้นของนามรูปสืบต่อจากปัจจุบัน เป็นชาติหน้า เป็นบุคคลใหม่ และตราบใดเมื่อยังมีเหตุให้เกิดขึ้น ผลคือวิบากนามรูปย่อมเกิดขึ้นแน่นอน แต่ถ้าหมดเหตุปัจจัยแล้ว ผลย่อมไม่เกิดอีกครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Sam
วันที่ 4 ก.พ. 2552

ความเชื่อว่าตายแล้วสูญ นับเป็นความเห็นผิดอย่างร้ายแรงและแก้ยากมากประการ หนึ่ง ซึ่งจะส่งผลให้กระทำอกุศลประการต่างๆ ได้มาก เพราะไม่เชื่อในกรรมและการให้ ผลของกรรม

ผมคิดว่าหากได้เจอผู้ที่มีความเชื่อเช่นนี้ คงต้องพิจารณาว่าเขาพร้อมจะรับฟังใน เหตุและผลหรือไม่ หากไม่พร้อมรับฟังก็ควรนิ่งเสีย แต่หากพร้อมรับฟังก็ต้องอธิบาย พระธรรมโดยละเอียดในสภาพที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตาของธรรมะ

การที่จะเกื้อกูลผู้อื่นด้วยพระธรรมได้ ต้องอาศัยความเข้าใจของเราเป็นสำคัญ ดังนั้น ผู้ที่ประสงค์จะอนุเคราะห์ผู้อื่นด้วยธรรมก็ควรตั้งใจศึกษาพระธรรมอย่างละเอียด รอบคอบ หมั่นปรึกษาและสอบถามท่านผู้รู้ เพื่อประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 4 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สภาพธรรมอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือขันธ์ 5 หรือสภาพธรรม อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น ตราบใดที่ยังมีอวิชชา ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้ทำกรรมดีและไม่ดีและ เป็นเหตุให้เกิด นามธรรมและรูปธรรมเกิดขึ้นซึ่งบัญญัติว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตน เกิดมา ได้เพราะอาศัยเหตุปัจัย ตายก็เพระเหตุปัจจัยแล้วก็เกิดใหม่ก็เพระยังมีเหตุปัจจัยให้เกิด คือมีกิเลสนั่นเอง

ที่สำคัญที่เชื่อว่าตายแล้วสูญก็ตั้งอยู่ในพื้นฐานในความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์บุคคล ตัวตนว่ามีจริงๆ ที่เกิดที่ตาย ที่จะไม่เกิด หากแต่ว่าในความเป็นจริงแล้วมีแต่สภาพธรรม ที่เกิดขึ้นและดับไป เมื่อเป็นสภาพธรรมจึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครที่ตายและเกิดซึ่งเมื่อเป็น สภาพธรรมจึงเป็นอนัตตา อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นจะไม่เกิดขึ้นอีกก็เพราะหมดเหตุ ปัจจัยที่จะต้องเกิดเช่นกันนั่นคือดับกิเลสหมดครับ

ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ajarnkruo
วันที่ 5 ก.พ. 2552

ถ้าเขาไม่รับฟังเหตุผลจากพระธรรม ใครก็เปลี่ยนความคิดเห็นของเขาไม่ได้เลยครับดังนั้น ถ้าเขาไม่รับฟังความคิดเห็นของเรา เราก็ไม่ควรเสียใจครับ เพราะทุกคนเป็นไปตามการสะสม เราทำอะไรกับการสะสมของเขาในแต่ละขณะไม่ได้ แต่ถ้าดูแล้ว พอจะเป็นไปได้ที่เขาอาจจะไม่ได้ยึดแน่นกับความเห็นผิดนั้นเท่าไร เราจะอธิบายอย่างไร?ก็อธิบายตามที่ความเข้าใจพระธรรมที่เราพอจะมี ด้วยจิตที่เมตตาครับ ถ้าอธิบายไม่ได้หรือเกรงว่า จะพูดผิด สอนผิด ก็ควรหาหลักฐานอ้างอิง เป็นข้อความจากพระไตรปิฎกรวมทั้งคำอธิบายจากผู้รู้ธรรมะ Cd MP3 ไฟล์ฟังธรรม ไปให้เขาอ่านหรือฟังก็ได้ครับ วิธีหลังนี้ เราไม่ต้องพูดอะไรมากเลย แต่ให้เขาได้ศึกษาแล้วพิจารณาด้วยตัวของเขาเองแต่สิ่งที่สำคัญ คือ คำที่อธิบายพระธรรมจากตัวบุคคลนั้น ต้องไม่ผิดนะครับ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการเผยแพร่มิจฉาทิฏฐิแก่เขาไปเสีย จะยิ่งทำให้เขาออกห่างจากพระสัทธรรมไป ต้องรอบคอบครับ เพราะถ้าไม่ละเอียดแล้วจะอันตรายครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
tha-lay
วันที่ 5 ก.พ. 2552

การคิดว่าตายแล้วสูญ มันจะมีอะไรมากมายไปกว่า การคิดเข้าข้างตัวเอง เพื่อจะได้ทำอะไรตามใจ เท่านั้น อะไรจะสำคัญกับคนพวกนี้เดียวพวกเค้าก็สูญ และต่อให้ยกเหตุผลต่างๆ อันลึกซึ้งแล้ว จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อเค้าไม่เคยฟัง ไม่เข้าใจ ไม่เชื่อถือ ไม่นั่งลงแล้วตั้งใจฟังหาเหตุผลไตร่ตรองว่า ทำไมเราถึงเชื่ออย่างนี้ไม่เชื่ออย่างนั้น ความคิดเค้ากับความคิดเราต่างกับยังไง เมื่อไหร่ที่ทำให้คนเหล่านี้นั่งลงฟังอย่างตั้งใจ อยากฟังต่อและติดตาม เมื่อนั้นก็เท่ากับว่า ท่านได้ทำลายทิฐฐิตายแล้วสูญของเค้าให้สั่นคลอนได้แล้ว และ ผมว่าคนพวกนี้ชอบวิทยาศาสตร์ (ของมนุษย์) อ่านอัคคัญสููตรดูแล้วให้เค้าคิดเอาเอง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
tha-lay
วันที่ 5 ก.พ. 2552

ขออีกหน่อยครับ

.....................................................................................................................

ปายาสิราชัญญสูตร

สูตรว่าด้วยพระเจ้าปายาสิ

เหตุการณ์เกิดขึ้นในแคว้นโกศล พระกุมารกัสสป พร้อมด้วยภิกษุสงส์หมู่ใหญ่

ประมาณ ๕๐๐ รูป จาริกไปในแคว้นนั้น แวะพัก ณ ป่าไม้สีเสียด อันตั้งอยู่ทิศเหนือของ

เสตัพยนคร . สมัยนั้น พระเจ้าปายาสิ (เป็นเพียงราชัญญะ คือพระราชาที่มิได้อภิเษก)

ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ครอบครองเสตัพยนคร.

พระเจ้าปายาสิมีความเห็นผิดเกิดขึ้นว่า โลกอื่นไม่มี สัตว์เป็นอุปปาติกะ (เกิดใหญ่

โตขึ้นทันที เช่น เทพ) ไม่มี ผลของกรรมดีกรรมชั่วไม่มี.

เมื่อได้สดับกิตติศัพท์อันงามของพระกุมารกัสสป พราหมณ์คฤหบดีทั้งหลายก็พากัน

เดินทางไปหาเป็นกลุ่มๆ พระเจ้าปายาสิทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้น ตรัสถามทราบความ

ก็เสด็จไปด้วย เมื่อผู้ที่ไปกล่าวสัมโมทนียกถาปราศรัยตามสมควรแล้ว พระเจ้าปายาสิก็

ประกาศทิฏฐิของพระองค์ดังกล่าวแล้วแก่พระเถระ ซึ่งจะย่อตคำโต้ตอบเป็นข้อๆ ดัง

ต่อไปนี้:-

๑. พระเถระถามว่า ที่ทรงเห็นว่าโลกอื่นไม่มี เป็นต้นนั้น พระจันทร์พระอาทิตย์เป็น

เทวดาหรือมนุษย์ ในโลกนี้หรือโลกอื่น. ตรัสตอบว่า พระจันทร์พระอาทิตย์อยู่ในโลกอื่น

มิใช่เทวดาหรือมนุษย์ในโลกนี้.

๒ . ตรัสเล่าว่า มีมิตรอำมาตย์ญาติสาโลหิตของพระองค์ที่ประพฤติชั่วมีประการต่าง

ๆ เมื่อบุคคลเหล่านั้นเจ็บไข้ ซึ่งพระองค์เห็นว่าจะไม่หายแน่ ก็เสด็จไปหา และสั่งว่า ถ้า

ไปตกนรก เพราะประพฤติชั่วตามคำของสมณพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก พวก

เหล่านั้นรับคำแล้ว ก็ไม่มีใครมาบอกเลย . พระองค์จึงไม่เชื่อโลกอื่นมี. พระเถระกล่าวว่า

เปรียบเหมือนโจรที่ทำผิดราชบุรุษจับได้ ก็นำตระเวนไปสู่ที่ประหารชีวิต โจรเหล่านั้น

จะขอผัดผ่อนให้ไปบอกพวกพ้องก่อนจะได้หรือไม่ ตรัสตอบว่า ไม่ได้. พระเถระจึงกล่าว

ว่า พวกที่ทำชั่วก็เช่นกัน ถ้าไปตกนรก ก็คงไม่ได้รับอนุญาตจากนายนิรยบาลให้มาบ

อก.

๓. ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งคนที่ทำความดีว่า ถ้าตายไปสู่สุคติโลกสวรรค์ เพราะ

ประพฤติดีตามคำของพราหมณ์แล้ว ขอให้กลับมาบอก. พวกนั้นรับคำ ก็ไม่มีใครมาบอก

เลย พระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี. พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนตกลงไปในหลุม

อุจจาระมิดศีรษะ พระองค์สั่งให้ราชบุรุษช่วยยกขึ้นจากหลุ่มนั้น เอาซี่ไม้ไผ่ปาดอุจจาระ

ออก ทำความสะอาดหมดจดแล้ว นำพวงมาลัยเครื่องลูบไล้และผ้ามีราคาแพงมาให้นุ่ง

ห่ม พาขึ้นสู่ปราสาท บำเรอด้วยกามคุณ ๕ บุรุษนั้นจะอยากลงไปอยู่ในหลุมอุจจาระอีก

หรือไม่. ตรัสตอบว่า ไม่อยาก. ถามว่าเพราะเหตุไร. ตรัสตอบว่า เพราะหลุมอุจจาระไม่

สอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล. พระเถระทูลว่า มนุษย์ก็เป็นผู้ไม่สะอาด มีกลิ่นเหม็น ปฏิกูล

สำหรับเทวดาทั้งหลาย พวกทำความดีที่ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ จะกลับมาบอกอย่างไร.

๔. ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยสั่งคนที่ทำความดีว่า สมณพราหมณ์บางพวกกล่าวว่า ผู้

ที่ทำความดีจะไปสู่สุคติโลกสวรรค์ ถึงความเป็นสหายของเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อท่าน

ทั้งหลายไปเกิดเช่นนั้นแล้ว ขอให้กลับมาบอกด้วย พวกนั้นรับคำแล้ว ก็ไม่มีใครมาบอก

เลย พระองค์จึงไม่เชื่อว่าโลกอื่นมี พระเถระทูลว่า ร้อยปีของมนุษย์เป็นคืนหนึ่งกับวัน

หนึ่งของชั้นเทพดาวดึงส์ ๓๐ ราตรี เป็น ๑ เดือน , ๑๒ เดือน เป็น ๑ ปี , ๑ พันปีทิพย์

เป็นประมาณแห่งอายุของเทพชั้นดาวดึงส์. ผู้ทำความดีที่ไปเกิดในที่นั้นคิดว่า อีกสัก

๒- ๓ วัน จะไปบอก พระเจ้าปายาสิ จะมาบอกได้หรือไม่. ตรัสตอบว่า มาไม่ได้ เพราะ

ข้าพเจ้าคงตายไปนานแล้ว แต่ก็ใครบอกแก่ท่านเล่าว่า เทพชั้นดาวดึงส์มีอายุยืนขนาด

นั้น ข้าพเจ้าไม่เชื่อเลย. พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนที่เสียจักษุแต่กำเนิด มองไม่

เห็นอะไรเลย จึงกล่าวว่า สีดำ ขาว เขียว เหลือง แดง แสดไม่มี คนที่เห็นสีเช่นนั้นก็ไม่

มี ดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มี ผู้เห็นดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ไม่มี

เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น สิ่งนั้นจึงไม่มีดังนี้ ผู้นั้นจะชื่อว่ากล่าวชอบหรือไม่. ตรัสตอบ

ว่า กล่าวไม่ชอบ. พระเถระจึงทูลว่า พระองค์ที่ปฏิเสธเรื่องเทพชั้นดาวดึงส์ก็เป็นเช่น

นั้น. สมณพราหมณ์บางพวกที่เสพเสนาสนะป่าอันสงัด ไม่ประมาท ทำความเพียร ชำระ

ทิพยจักษุ มองเห็นโลกนี้โลกอื่นและสัตว์อุปปาติกะด้วยจักษุอันเป็นทิยย์ เหนือจักษุ

ของมนุษย์มีอยู่. เรื่องของปรโลกพึงเห็นอย่างนี้ ไม่พึงเข้าใจว่าจะได้เห็นได้ด้วยตาเนื้อ

นี้.

๕. ตรัสเล่าว่า พระองค์เคยเห็นสมณพราหมณ์ที่มีศีลมีธรรมอันงาม ใคร่มีชีวิต ไม่

อยากตายใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ จึงทรงคิดว่า ถ้าสมณพราหมณ์ผู้มีศีลธรรมอันงาม

เหล่านี้ รู้ตัวว่าตายไปแล้ว จะดีกว่าชาตินี้ ก็ควรจะกินยาพิษ เชือดคอตาย ผูกคอตาย

หรือโดดเหวตาย แต่เพราะไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะดีกว่าชาตินี้ จึงรักชีวิต ไม่อยากตาย

ใคร่ความสุข เกลียดทุกข์ ข้อนี้เป็นเหตุให้พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าโลกอื่นมี สัตว์อุปปา

ติกะ (เกิดเติบโตขึ้นทันที) มี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมี. พระเถระทูลเปรียบเทียบถวาย

ว่าพราหมณ์คนหนึ่งมีภริยา ๒ คน คนหนึ่งมีบุตรอายุ ๑๐ หรือ ๑๒ ปี อีกคนหนึ่งมีครรภ์

จวนคลอด. พราหมณ์นั้นถึงแก่กรรม มาณพผู้เป็นบุตรจึงพูดกับมารดาเลี้ยงว่า ทรัพย์

สมบัติทั้งปวงนี้ ตกเป็นของข้าพเจ้าทั้งหมดของท่านไม่มีเลย ขอท่านจงมอบความเป็น

ทายาทของบิดาแก่ข้าพเจ้า.
นางพราหมณีผู้เป็นมารดาเลี้ยงตอบว่า เจ้าจงรอก่อนจนกว่าเราจะคลอด ถ้าคลอด

เป็นชาย ก็จะได้ส่วนแบ่งส่วนหนึ่ง ถ้าเป็นหญิง แม้น้องหญิงนั้นก็จะต้องตกเป็นของ

เจ้า.. แต่มาณพนั้นก็เซ้าซี้อย่างเดิม แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ นางพราหมณีจึงถือ

มีดเข้าไปในห้อง ผ่าท้องเพื่อจะรู้ว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง เป็นการทำลายตัวเอง

ทำลายชีวิต ทำลายเด็กในครรภ์ และทำลายทรัพย์สมบัติ เพราะเป็นผู้เขลา แสวงหา

สมบัติโดยไม่แยบคาย จึงถึงความพินาศ. สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีธรรมอันดี ที่เป็น

บัณฑิต ย่อมไม่ชิงสุกก่อนสุก ย่อมรอจนกว่าจะสุก สมณะพราหมณ์เหล่านี้ดำรงชีวิตอยู่

นานเพียงใด ผู้อื่นก็ได้ประสบบุญมากเพียงนั้น และท่านก็ปฏิบัติเพื่อประโยชน์และ

ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข

แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.

๖. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ โดยให้ใส่ลงไปในหม้อทั้ง

เป็น ปิดผาแล้วเอาหนังสดรัด เอาดินเหนียวที่เปียกยาให้แน่น ยกขึ้นสู่เตาแล้วจุดไฟ

เมื่อรู้ว่าผู้นั้นตายแล้ว ก็ให้ยกหม้อลง กะเทาะดินเหนียวที่ยาออก เปิดฝาค่อยๆ มองดู

เพื่อจะได้เห็นชีวะของโจรนั้นออกไปก็ไม่เห็นเลย จึงทำให้ไม่เชื่อว่ามีโลกอื่น.

พระเถระทูลถามว่า ทรงระลึกได้หรือไม่ว่า เคยบรรทมหลับกลางวัน แล้วทรงฝันเห็ส

วน ป่า ภูมิสถานและสระน้ำอันน่ารื่นรมย์หรือไม่. ตรัสว่า ระลึกได้. ถามว่า ในสมัยนั้น

คนค่อม คนหรือเด็กๆ เฝ้าพระองค์อยู่ใช่หรือไม่. ตรัสตอบว่า ใช่. ถามว่า พวกเหล่านั้น

เห็นชีวะของพระองค์เข้าออกหรือไม่. ตรัสตอบว่าไม่เห็น. พระเถระจึงทูลว่า คนมีชีวิต

ยังไม่เห็นชีวะของพระองค์ผู้ทรงพระชนมชีพอยู่เข้าออก เหตุไฉนพระองค์จะทรงเห็น

ชีวะของคนตายเข้าออกเล่า.

๗. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ ให้ชั่งน้ำหนักดูเมื่อเป็น แล้ว

ให้เราเชือกรัดคอให้ตายแล้วชั่งดูอีก ในขณะที่เป็นมีน้ำหนักเบากว่า อ่อนกว่า ใช้การ

งานได้ดีกว่าเมื่อตายแล้ว เหตุนี้จึงไม่ทรงเชื่อเรื่องโลกอื่น. พระเถระทูลถามว่า พึงชั่ง

ก้อนเหล็กที่เผาไฟตลอดวัน ร้อนลุกโพลง กับก้อนเหล็กที่เย็นเทียบกันดู อย่างไหนจะ

เบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า. ตรัสตอบว่า ก้อนเหล็กที่ประกอบกับธาตุไฟ ธาตุ

ลม ร้อนลุกโพลง เบากว่า อ่อนกว่า ใช้การงานได้ดีกว่า . พระเถระทูลต่อไปว่า ร่างกาย

ก็เหมือนกันประกอบ ด้วยอายุ (เครื่องสืบต่อหล่อเลี้ยง) ประกอบด้วยไออุ่น ประกอบ

ด้วยวิญญาณ ก็เบากว่า อ่อนกว่าใช้การงานได้ดีกว่า.

๘. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ ให้ฆ่าโดยไม่กระทบกระทั่ง

ผิว , หนัง , เนื้อ , เอ็น , กระดูก , เยื่อในกระดูก เพื่อจะดูชีวะออกไป (จากร่าง) เมื่อเขา

ทำอย่างนั้น และเมื่อโจรนั้นจะตายแน่ก็สั่งให้จับนอนหงาย เพื่อจะดูชีวะออกไป ก็ไม่

เห็นชีวะออกไป. สั่งให้จับนอนตะแคงที่ละข้าง ให้ยกขึ้นให้เอาศีรษะลง ให้ใช้ฝ่ามือ ,

ก้อนดิน , ท้อนไม้ , ศัสตราเคาะดู , ให้ดึงเข้า ให้ผลักออก ให้พลิกไปมา เพื่อจะดูชีวะ

ออกไป ก็ไม่เห็นชีวะออกไป. โจรนั้นมีตา หู จมูก ลิ้น มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่

ก็ไม่รู้สึกอายตนะนั้นๆ (คือไม่รู้สึกเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ)

พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์เดินทางไปชนบทชายแดน

แห่งหนึ่ง เป่าสังข์ขึ้น ๓ ครั้ง แล้ววางสังข์ไว้บนดิน ชาวบ้านได้ยินเสียงสังข์ชอบใจก็

พากันมารุมถามว่าเสียงอะไร. เขาตอบว่า เสียงสังข์นั้น ชาวบ้านก็จับสังข์หงาย พร้อม

ทั้งพูดว่า “ สังข์เอ๋ยจงเปล่งเสียง” แต่สังข์ก็ไม่เปล่งเสียง จึงจับคว่ำ จับตะแคงยกขึ้น

เอาหัวลง เอาฝ่ามือ, ก้อนดิน , ท้อนไม้ , ศัสตราเคาะ ดึงเข้ามา ผลักออกไป จับพลิก

ไปมา เพื่อจะให้สังข์นั้นเปล่งเสียง สังข์นั้นก็ไม่เปล่งเสียง . คนเป่าสังข์เห็นว่า คน

เหล่านั้นเป็นคนบ้านนอก เป็นคนเขลาหาเสียงสังข์โดยไม่แยบคาย จึงหยิบสังข์ขึ้นมา

เป่า ๓ ครั้งให้เห็นแล้วก็หลีกไป. คนเหล่านั้นจึงรู้ว่า สังข์นี้ประกอบด้วยคน ประกอบ

ด้วยความพยายาม ประกอบด้วยลม จึงเปล่งเสียงได้ ถ้าไม่ประกอบด้วยเหตุเหล่านั้นก็

เปล่งเสียงไม่ได้. กายก็เช่นเดียวกัน ประกอบด้วยอายุ ประกอบด้วยไออุ่น ประกอบด้วย

วิญญาณ จึงก้าวเดินถอยหลัง ยืน นั่ง นอนได้ เห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้อง

โผฏฐัพพะ รู้ธรรมะ (อารมณ์ที่เกิดกับใจ) ได้. ถ้าไม่ประกอบด้วยสิ่งเหล่านั้น ก็ทำอะไร

ไม่ได้.

๙. ตรัสแย้งต่อไปว่า เคยตรัสสั่งให้ลงโทษโจรที่จับได้ โดยให้ตัดผิวหนัง , ตัด

หนัง , เนื้อ , เอ็น, กระดูก , เยื่อในกระดูก เพื่อจะดูชีวะ ก็ไม่เห็นชีวะ จึงไม่ทรงเชื่อว่า

โลกอื่นมี เป็นต้น. พระเถระทูลเปรียบเทียบถวายว่า มีชฎิล (นักบวชเกล้าผมเป็นเชิง)

ผู้บูชาไฟรูปหนึ่ง อยู่ในกุฏิ มุงด้วยใบไม้ในป่า พวกเดินทางพักแรมชาวชนบทคณะหนึ่ง

. ออกเดินทางมาพักแรมคืน รอบอาศรมของชฎิลผู้บูชาไฟนั้นแล้วจากไป. ชฎิลจึง

เดินไปในที่ที่เขาพักแรมด้วยหวังว่าจะได้เครื่องใช้อะไรบ้าง ในที่นั้น (ที่เขาทิ้ง แต่อาจ

เป็นประโยชน์แก่ชฎิลผู้อยู่ป่า) เมื่อเข้าไปก็เห็นเด็กแดงๆ คนหนึ่ง เป็นเด็กชายนอน

หงายอยู่. จึงนำมาเลี้ยงไว้จนเติบโต มีอายุได้ ๑๐ ปี หรือ ๑๒ ปี . ต่อมาชฎิลมีธุระที่จะ

ต้องไปในชนบท จึงเรียกเด็กมาสั่งให้บูชาไฟ (คอยเอาไฟใส่ในกองไฟ) อย่าให้ดับ

ได้. ถ้าไฟดับ มีดอยู่นี่ ไม่สีไฟอยู่นี่ จงจุดไฟให้ติด บูชาไฟต่อไป. เมื่อสั่งเสร็จและไป

แล้ว เด็กมัวเล่นเพลินไป ไฟก็ดับ . เด็กคิดถึงคำสั่ง จึงเอามีดมาถากไม้สีไฟด้วยหวังจะ

ได้ไฟ ก็ไม่ได้ไฟ จึงผ่าไม้สีไฟออกเป็น ๒ ซีก ๓ ซีก จนถึง ๒๐ ซีก ทำเป็นชิ้นๆ ใส่

ครกตำ แล้วเอามาโรยที่ลมด้วยหวังจะได้ไฟ แต่ก็ไม่ได้. ชฎิลกลับมาเห็นเช่นนั้น ถาม

ทราบความแล้ว จึงคิดว่า เด็กนี้ยังอ่อน ไม่ฉลาด จะหาไฟโดยวิธีที่ไม่ถูกได้อย่างไร จึง

เอาไม้สีไฟมาสีให้เด็กดูถึงวิธีทำไฟให้ติด. พระองค์ก็เช่นเดียวกัน ทรงหาโลกอื่นโดย

วิธีที่ไม่ถูก. ในที่สุดได้แนะนำให้พระเจ้าปายาสิทรงสละความเห็นผิดนั้นเสีย.

แต่พระเจ้าปายาสิทรงอ้างว่า ทรงสละไม่ได้ เพราะพระเจ้าปเสนทิโกศล และพระรา

ชาในรัฏฐะอื่นๆ ก็ทรงทราบกันทั่วไปว่า พระองค์มีความเห็นอย่างนี้ ก็จะพากันติเตียน

ได้. พระกุมารกัสสปเถระจึงยกอุปมา เพื่อจูงใจให้ทรงละความเห็นผิดนั้นๆ แต่เมื่อยังไม่

ทรงยอม ก็ยกอุปมาอื่นอีก โดยนัยนี้เป็นอุปมา ๔ ข้อดังต่อไปนี้:-

๑. เปรียบเหมือนพ่อค้าเกวียนหมู่ใหญ่ เดินทางจากภาคตะวันออกไปตะวันตก แล้ว

ได้แบ่งกองเกวียนออกเป็น ๒ กอง กองละประมาณ ๕๐๐ เล่ม ให้ขบวนหนึ่งล่วงหน้าไป

ก่อน อีกขบวนหนึ่งจะตามไปภายหลัง ขบวนที่ล่วงหน้าไปก่อนถูกคนเดินทางสวน

หลอกให้ทิ้งหญ้าทิ้งน้ำ เล่าว่าข้างหน้าฝนตกในทางกันดาร พุ้มไม้, หญ้า , ไม้ , และน้ำ

บริบูรณ์ หัวหน้ากองเกวียนหลงเชื่อจึงพาพวกไปตายหมดสิ้น เพราะทิ้งหญ้าทิ้งน้ำแล้ว

ก็หาน้ำและหญ้าข้างหน้าไม่ได้ พวกไปทีหลังไม่ยอมเชื่อคนหลอก ไม่ยอมทิ้งหญ้าทิ้ง

น้ำ จึงเดินทางข้ามทางกันดารโดยสวัสดี. แล้วเปรียบว่าพระองค์แสวงหาโลกอื่นโดย

ไม่แยบคาย จะพลอยให้คนที่เชื่อถือพากันถึงความพินาศไปด้วย เหมื่อนนายกองเกวียน

คณะแรก.

๒. เปรียบเหมือนชายเลี้ยงหมูคนหนึ่ง ไปสู่หมู่บ้านอื่น เห็นคูถ (อุจจาระ) แห้ง ที่เขา

ทิ้งไว้เป็นอันมากก็คลี่ผ้าห่มออก เอาคูถแห่งใส่แล้วห่อทูลเหนือศีรษะมา ในระหว่างทาง

ฝนตก คูถนั้นก็ไหลเลอะเปรอะไป คนทั้งหลายจึงพากันติเตียนว่าเป็นบ้า หรือไปแบก

ห่อคูถมาทำไม. เขาตอบกลับว่า ท่านต่างหากเป็นบ้าเพราะของที่แบกมานี่เป็นอาหาร

ของหมู. พระองค์ก็เปรียบเหมือนอย่างนั้น ขอจงทรงสละความคิดเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

๓. เปรียบเหมือนนักเลงสกา ๒ คนเล่นสกากัน คนหนึ่งย่อมกลืนลูกโทษที่มาถึงตัว

. (หมายถึงลูกสกาที่จะทำให้แพ้) . อีกคนหนึ่งงบอกว่า ท่านชนะเรื่อยข้างเดียว ขอ

ลูกสกาให้ข้าพเจ้าทำพิธีบ้าง . คนชนะจึงส่งให้ไป. นักเลงคนที่ ๒ จึงเอายาพิษทาลูก

สกา. เมื่อเล่นครั้งที่ ๒ นักเลงสกาคนแรกก็กลืนลูกโทษที่มาถึงนั้นอีก (และตายเพราะ

กลืนยาพิษเข้าไปด้วย) . พระองค์ก็เปรียบเหมือนนักเลงสกา (ที่กลืนยาพิษไปกับลูก

สกาด้วย) ของจงทรงสละความเห็นผิดนั้นเสียเถิด.

๔. เปรียบเหมือนชาย ๒ คนชวนกันไปยังชนบทเพื่อหาทรัพย์ ไปพบป่านในระหว่าง

ทางก็ห่อป่านเดินทางไป ครั้นไปพบด้ายที่ทอจากป่าน คนหนึ่งเห็นด้ายมีราคากว่าก็ทิ้ง

ป่านห่อด้ายไป อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ด้วยถือว่าแบกมาไกลแล้ว ผูกรัดไว้ดีแล้ว. โดยนัย

นี้ไปพบผ้าเปลือกไม้. ผ้าฝ้าย , เหล็ก , โลหะ , ดีบุก ตะกั่ว, เงิน, ทอง คนหนึ่งทิ้งของ

เก่าถือเอาของใหม่ที่มีราคากว่า แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอมทิ้ง ถือว่าแบกมาไกลแล้วผูกรัดไว้

ดีแล้ว เมื่อกลับไปถึงบ้าน บุตร ภริยา เพื่อนฝูงแบกห่อป่าน ก็ไม่ชื่นชม แต่บุตร จริยา

เพื่อนฝูงของผู้แบกห่อทองกลับมา ต่างชื่นชม. พระองค์จะเป็นอย่างผู้แบกห่อป่าน ขอ

จงสละความเห็นผิดนั้นสียเถิด.

พะระเจ้าปายาสิทรงเลื่อมใสในพระกุมารกัสสปเถระ สรรเสริญภาษิต ประกาศ

พระองค์เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็รนสรณะตลอดพระชนมชีพ แล้วทรงถามถึงวิธี

บูชายัญ ซึ่งพระเถระก็ถวายคำแนะนำให้บูชาโดยไม่มีการฆ่าสัตว์ พระเจ้าปายาสิก็ทรง

ปฏิบัติตาม โดยให้มีการแจกทาน (ทำงานสังคมสงเคราะห์) แล้วเพิ่มของที่ให้ดีขึ้น

โดยลำดับ.

...........................................................................................................................

โทษทีครับ ยาวไปหน่อย เราต้องจริงจังกับเรื่องนี้ เดียวโลกเสื่อมหมด

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornpaon
วันที่ 5 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านที่เกื้อกูลท่านผู้ถามค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 6 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
sukchit
วันที่ 13 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Selaruck
วันที่ 2 ม.ค. 2563

"....พระเถระทูลว่า เปรียบเหมือนคนที่เสียจักษุแต่กำเนิด มองไม่เห็นอะไรเลย จึงกล่าวว่า สีดำ ขาว เขียว เหลือง แดง แสดไม่มี คนที่เห็นสีเช่นนั้นก็ไม่มี ดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ไม่มี ผู้เห็นดวงดาว พระจันทร์ พระอาทิตย์ก็ไม่มี เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ไม่เห็น สิ่งนั้นจึงไม่มีดังนี้ ผู้นั้นจะชื่อว่ากล่าวชอบหรือไม่.

ตรัสตอบว่า กล่าวไม่ชอบ. พระเถระจึงทูลว่า พระองค์ที่ปฏิเสธเรื่องเทพชั้นดาวดึงส์ก็เป็นเช่น

นั้น...."

พึ่งโพสตคำถามเรื่องหาเหตุผลไปสนทนากับปู้คนรอบข้างผู้คล้ายพระเจ้าปายาสิอยู่พอดีค่ะ บทนี้สามารถนำไปอธิบายคร่าวๆ ได้เป็นอย่างดี แต่เขาอาจพิจารณาได้

ขอบคุณและอนุโมทนายิ่งค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ