ทำอย่างไรจึงมีสติ ปัญญา มีกุศลจิต อยู่ตลอดเวลา
ทำอย่างไรจึงมีสติ ปัญญา มีกุศลจิตอยู่ตลอดเวลา เพราะในความเป็นจริงมักมีบ้าง
ไม่มีบ้าง ถ้าเช่นนั้น การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน น่าจะไม่สะดวก หากมีที่สัปปายะ
หรือที่สงบ สะดวก สบายต่อการปฏิบัติ จะดีกว่าหรือไม่ และมีปัญญามากน้อยแค่ไหน
จึงจะสามารถปฏิบัติธรรมตามความเป็นจริงที่ถูกต้องได้
ผู้ที่ไม่หลงลืมสติ คือมีสติ ปัญญา สมบูรณ์ ได้แก่พระอรหันต์เท่านั้น บุคคลเหล่าอื่น
ที่นอกจากพระอรหันต์ ย่อมหลงลืมสติบ้าง มีสติบ้าง การปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน
ขึ้นอยู่ที่ความเข้าใจ เมื่อเข้าใจในข้อปฏิบัติที่ถูกต้องจากการศึกษาพระธรรมแล้ว สติ
และสัมปชัญญะย่อมเกิดขึ้นทำกิจ โดยไม่มีการเลือกเวลา สถานที่ และอารมณ์ เราเป็น
คฤหัสถ์ มีกิจหน้าที่ ที่จะต้องทำและรับผิดชอบ ขณะที่ทำกิจหน้าที่ก็เป็นกุศลได้ และ
สติปัฏฐานก็เกิดได้ ฉะนั้นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โปรดอย่ารอ
สถานที่ ที่เป็นสัปปายะเลย เพราะขณะที่รอเวลา หรือสถานที่ ขณะนั้น ชื่อว่าเป็น
ผู้ประมาท
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็มีสภาพธรรมะให้ศึกษา ขึ้นอยู่ว่าสภาพธรรมะปรากฏอยู่ต่อหน้า
มีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน การเจริญขึ้นของสติและปัญญา ต้องเริ่มจากการฟัง
ฟังแล้วคิดพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว ปัญญาจะทำหน้าที่
ของเขาเอง
คนที่มีสติและปัญญาสมบูรณ์มีแต่ พระอรหันต์ เท่านั้นค่ะ กุศลจิต ไม่สามารถเกิดได้
ตลอดเวลา แม้แต่พระอริยบุคคล 3 ขั้นแรก บางขณะท่านก็ยังเกิดอกุศลจิต
- อกุศลจิตที่เกิดกับ พระโสดาบัน = โลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ 4 โทสมูลจิต 2
โมหมูลจิต 1 (อุทธัจจสัมปยุตต)
- อกุศลจิตที่เกิดกับ พระสกทาคามี = โลภทิฏฐิคตวิปปยุตต์ 4 โทสมูลจิต 2
โมหมูลจิต 1 (อุทธัจจสัมปยุตต)
- อกุศลจิตที่เกิดกับ พระอนาคามี = โลภทิฏฐิวิปปยุตต์ 4
โมหมูลจิต 1 (อุทธัจจสัมปยุตต)
แม้แต่พระอริยบุคคลยังเกิดอกุศลจิต จะกล่าวไปใยถึงปุถุชน ซึ่งกิเลสหนา ยังละ
สังโยชน์ใดไม่ได้เลย ดังนั้น ปุถุชนเกิดกุศลจิตตลอดเวลา จึงเป็นอฐานะ