จะทำอย่างไรให้เกิดศรัทธา และเชื่อว่าชาติหน้ามีจริง

 
suansontaya
วันที่  10 ก.พ. 2552
หมายเลข  11218
อ่าน  1,593
ผมเป็นคนนึงที่สนใจในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และเริ่มศึกษาจากหนังสือ
ธรรมะต่างๆ แต่ผมยังติดข้องใจอยู่ คือ การที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ชาติหน้า และการ
เวียนว่ายตายเกิดมีจริง หลายคนบอกว่าผมยังมีศรัทธาไม่เพียงพอ จึงยังผ่านจุดนี้ไป
ไม่ได้ ในการศึกษาธรรมะผมเชื่ออย่างสนิทใจและเห็นถึงประโยชน์ในหลักธรรมคำสอน
ที่จะนำพาชีวิตไปสู่หนทางแห่งความสงบ ด้วยการมีสติอยู่ตลอดเวลา และนำไปสู่การ
ใช้ปัญญาในการพิจารณาความจริงต่างๆ อย่างไรก็ตาม การที่ผมศึกษาธรรมะและตั้งใจ
ทำความดี ไม่ใช่เพราะกลัวความทุกข์ในชาติหน้า (เนื่องจากผมไม่เชื่อในเรื่องนี้) .......
จะมีหนังสือเล่มไหน หรือการบรรยายธรรมใน cd ตอนไหนที่จะชี้ทางสว่างให้ผมได้บ้าง
ครับ......
พ่อของแฟนเล่าให้ผมฟัง เกี่ยวกับเรื่องที่ท่านได้ฟังมาอีกต่อหนึ่งว่า "มีเต่าและปลา
อาศัยอยู่ในบ่อน้ำ วันนึงเต่าคลานขึ้นมาบนขอบบ่อ และมองเห็นรถยนต์วิ่งไปมามาก
มาย เมื่อมันกลับไปเล่าให้ปลาฟัง ปลาก็ไม่เชื่อ เพราะไม่เห็นด้วยตาตัวเอง และไม่มี
โอกาสที่จะขึ้นมาบนน้ำเพื่อเห็นด้วยตาของตัวเอง" หรือผมจะเป็นได้แค่ปลา และมี
ความสุขอยู่กับการว่ายน้ำในบ่อที่เย็นฉ่ำแห่งนี้ครับ
ขอความกรุณาด้วยครับ

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 10 ก.พ. 2552

ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรมของผู้ตรัสรู้ตลอดพระไตรปิฎกจึงจะช่วยทำให้

เข้าใจในเหตุผลและตัวอย่างต่างๆ ได้ เพียงคิดเองไม่สามารถรู้ได้ครับ
และลองอ่านพระสูตรชื่อ ปายาสิราชัญญสูตร พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 369

๑๐. ปายาสิราชัญญสูตร

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 10 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คื่อตัณหา (โลภะ) และ อวิชชา (ความไม่รู้) จึงต้องมีการเกิดการตายอยู่ร่ำไป สังสารวัฏฏ์ดำเนินไปอย่างไม่จบสิ้น และกว่าจะมาเกิดเป็นมนุษย์ในชาติปัจจุบันนี้นั้น ในชาติที่ผ่านๆ มาก็เคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นมาแล้วทุกอย่าง ทั้งคนมั่งมี ยากจนคนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพระราชา พระมหากษัตริย์ เป็นต้น เพราะสังสารวัฏฏ์ยาวนานหาที่สุดเบื้องต้นเบื้องปลายไม่ได้ และเมื่อยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งหมดอย่างเด็ดขาดขณะสุดท้ายของชีวิตในชาตินี้ ที่จุติจิตเกิดขึ้นเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ แล้วดับไปปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อทันที เกิดทันทีในภพใหม่ชาติใหม่ เป็นบุคคลใหม่ในชาติใหม่มีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปอีก จึงควรที่จะได้ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพราะเหตุว่าการอบรมเจริญปัญญาเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ดับกิเลส ดับทุกข์ ไม่มีการเกิดการตายอีกเลย ดังนั้น ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาด้วยความละเอียด รอบคอบ ก็จะทำให้มีความเข้าใจเจริญขึ้นไปตามลำดับ และประการที่สำคัญ พระธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 11 ก.พ. 2552

ปายาสิราชัญญสูตร น่าสนใจมากและยาวมากคะขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ศิณอนงค์
วันที่ 11 ก.พ. 2552

สมัยเด็กๆ ดิฉันก็ไม่เชื่อค่ะ เพราะครูประถมที่โรงเรียนสอนบอกว่าผีไม่มีจริงคนตาย

แล้วเผากลายเป็นผง แต่โชคดีมากๆ ๆ ที่กัลยาณมิตร เล่าเรื่องพุทธประวัติให้ฟัง มี

เรื่องทศชาติชาดกด้วย ก็สงสัยถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านถึงเล่าเรื่องอดีตชาติได้

กัลยาณมิตรท่านนั้น (ซึ่งก็คือคุณแม่) กล่าวว่า พระพุทธเจ้า เป็นผู้กล่าวแต่คำจริง และ

พิสูจน์ได้ เพราะมีกฏแห่งกรรมจริงๆ ถ้าทำชั่วแล้วตายสูญ ก็คงไม่มีกฏแห่งกรรม เวลา

ทำบุญตักบาตรตอนเช้า ก็เกิดกุศลจิตบ้าง เชื่อว่ามีผล ถ้าไม่เชื่อว่ามีผล ก็ยากที่จะ

ทำ กรรมชั่วก็เช่นกัน ถ้าไม่เชื่อว่ามีผล ก็คงจะฆ่ากันง่ายๆ ลึกๆ แล้วล้วนเคยสะสมมา

บ้าง จึงเชื่อว่ามีผล แต่ผู้ไม่เคยสดับมาก่อน ไม่มีกัลยาณมิตร และเกิดในประเทศไม่

สมควร ก็ยากที่จะเชื่อและใช้ชีวิตเสเพลเต็มที่ เพราะเขาอาจจะเชื่อว่าตายแล้วก็ไม่ต้อง

รับผลของกรรมชั่ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่เหตุเกิดแล้วจะไม่มีผล (เหตุต้องสมควรแก่

ผล) สิ่งที่เริ่มเป็นเหตุให้เกิดศรัทธาว่าชาติหน้ามี และ การกระทำบุญหรือบาปให้ผล

จริง เริ่มแรกก็คงต้องเชื่อเรื่องกรรมนี่แหละค่ะ (กัมมสัทธา)

เพราะพระพุทธองค์ คือ ผู้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถ้าหากคนทั่วไปจะสงสัยในพระปัญญา

คุณของพระพุทธเจ้าอีก คงจะต้องให้เขาอ่าน เรื่องตถาคตโพธิสัทธาค่ะ

ศรัทธาเป็นอริยทรัพย์ข้อแรก ใครจะขโมยจากเขาก็ไม่ได้ แต่จะนำไปให้เขาก็ไม่ได้

ไม่มีซื้อขาย ยัดเยียดให้ก็ไม่ได้ บังคับบัญชาให้เกิดศรัทธาไม่ได้ เกิดเพราะเหตุที่

สมควรแก่ผล

อย่างไรก็ตาม ปุถุชน เป็นปกติที่จะมีศรัทธาไม่แน่นอน ชาติหน้าเราก็อาจจะลืมไปแล้ว

ว่าเคยเชื่อเรื่องกรรมหรือเรื่องต่างๆ ในพระพุทธศาสนา เพราะเหตุนี้ "อริยะ-ทรัพย์" จึง

มีศรัทธาเป็นข้อแรก ประมาทเมื่อไหร่ ปุถุชน ก็โน้มเอียงที่จะเห็นผิดได้เสมอๆ ขาด

การฟังพระธรรมไม่ได้เลย เพราะเป็นนาทีที่เลิศกว่าทองในช่วงชีวิตมนุษย์

พระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้นที่มีศรัทธามั่นคง เพราะดับความเห็นผิดอย่างเด็ดขาด ซึ่ง

กว่าที่ปุถุชนจะไปถึงจุดนั้น ก็เป็นจิรกาลภาวนาค่ะ

เรื่องเหตุให้เกิดศรัทธา

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 203 ข้อความบางตอนจาก ตัณหาสูตร

............................... แม้ศรัทธา เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของศรัทธา ควรกล่าวว่า การฟังสัทธรรม แม้การฟังสัทธรรม เราก็กล่าวว่ามีอาหาร มิได้กล่าวว่าไม่มีอาหาร ก็อะไรเป็นอาหารของการฟังสัทธรรม ควรกล่าวว่า การคบหาสัปบุรุษ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้ การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์ การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์ การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์ สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์ การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสุจริต ให้บริบูรณ์ สุจริต ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ให้บริบูรณ์ โพชฌงค์ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
พุทธรักษา
วันที่ 11 ก.พ. 2552

มีคำถามหนึ่ง ที่ท่านผู้ฟังถามท่านอาจารย์สุจินต์ในการตอบปัญหาธรรม ที่ห้องบรรยายสรีรวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาลวันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๑๓

ท่านผู้ฟังถามว่า
ชาติหน้ามีจริงหรือ มีอะไรพิสูจน์แสดงให้เห็นว่ามีจริง.?

ท่านอาจารย์ตอบว่า
ชาตินี้มีจริงไหม.......?เมื่อชาตินี้มีจริงได้ ชาติหน้าก็มีจริงได้เวลาที่คิดถึงชาติๆ หนึ่ง ก็คิดถึงระยะยาว คือ ตั้งแต่เกิดมา ชีวิตก็ล่วงไป เป็นวัน เป็นเดือน เป็นปี ตลอดไปจนตาย ก็นับว่าเป็นชาติหนึ่ง.
แต่ทำไมจึงไม่ถอยไปให้สั้นกว่าปี เดือน วัน จนถึงขณะเมื่อกี้นี้ กับขณะนี้ ซึ่งไม่ใช่ขณะเดียวกันแสดงให้เห็นว่า แต่ละขณะนั้นล่วงไป ดับสิ้นไปอย่างเร็วที่สุด.
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมว่าชีวิตตั้งอยู่เพียงขณะจิตที่เกิดขึ้น และดับไป สืบต่อกันทีละหนึ่งขณะเมื่อจิตดวงหนึ่งดับไปแล้ว ก็ไม่ใช่ว่าหมดเชื้อปัจจัย ที่จะทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้นอีกเช่น ขณะเมื่อกี้นี้ ก็หมดสิ้นไปแล้ว ใครจะเรียกร้องให้นามธรรมและรูปธรรมที่ดับไปแล้วเมื่อกี้นี้กลับคืนมาก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลย.
การเกิดขึ้นแล้วดับไปของรูปธรรมและนามธรรมแต่ละขณะนั้นเป็นเพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น.
ขณะเมื่อกี้นี้มี จึงทำให้ขณะนี้มีและเมื่อวานนี้มี วันนี้จึงมี ฉันใดวันนี้มี พรุ่งนี้ก็มี ฉันนั้นเพราะเหตุใด...?เพราะวันนี้ เป็นปัจจัยของวันพรุ่งนี้ถ้าวันนี้ไม่มี วันพรุ่งนี้ก็ไม่มี.
เพราะฉะนั้น เรื่องชาตินี้ ชาติหน้า ก็เหมือนกับวันนี้และวันพรุ่งนี้ถ้านึกไกลไปถึงชาติหน้า ก็จะทำให้สงสัยและพิสูจน์ไม่ได้.
แต่ถ้ากลับมาพิสูจน์ขณะที่สั้นที่สุด ใกล้ที่สุด คือขณะนี้ก็จะรู้ความจริงของทุกๆ ขณะได้และจะทำให้หมดความสงสัยในสภาพธรรมทั้งหลาย ซึ่งปรากฏเป็นชีวิต แต่ละขณะๆ เพราะไม่ว่าชาตินี้ ชาติก่อน หรือชาติหน้าสภาพธรรมทั้งหลาย ก็เกิดขึ้นและดับไปเพราะเหตุปัจจัยทั้งสิ้นไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยที่เราเกิดมานี้....ก็เพราะ "ความไม่รู้"เราเลือกเกิดไม่ได้ ว่าจะเกิดวันไหนถ้าเลือกวันเกิดได้ ก็เลือกวันตายได้.
เพราะเมื่อตาย คือ เมื่อจุติจิตดับไปแล้วก็เป็นปัจจัยให้จิตดวงต่อไปเกิดขึ้น คือ ปฏิสนธิจิตปฏิสนธิจิต คือ จิตขณะแรกของชาติหน้า ซึ่งต้องเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อนทันที โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย เหมือนกับจิตทุกขณะเดี๋ยวนี้ ที่เกิดขึ้นแล้วดับไปสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว.
จิตในขณะนี้ ในชาติปัจจุบันนี้ สืบต่อกันฉันใดเมื่อจุติจิตของชาตินี้ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิตเกิดต่อเป็นชาติหน้าทันที.
ไม่มีใครบังคับจิตนิยาม คือ ธรรมชาติของจิตได้วิสัยของจิตที่เกิดดับนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยฉะนั้น เมื่อยังมีเหตุปัจจัยที่ทำให้จิตเกิด จิตก็ต้องเกิด.
ผู้ทีไม่ใช่พระอรหันต์นั้น ต้องเกิดอีกแน่นอนถึงแม้ว่าไม่รู้...ก็ต้องเกิดเหมือนกับชาตินี้...ก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องเกิดมาและไม่ใช่ว่าจะอยากเกิดที่ไหน วันไหน ก็จะเลือกเกิดได้แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด เมื่อไหร่ ที่ไหน...ก็ต้องเกิด เมื่อนั้น ที่นั้น.
จิต เป็นนามธรรมที่เกิดึ้นแล้วดับไป อย่างรวดเร็วจึงไม่สามารถเอาเข้าห้องทดลองพิสูจน์อย่างวิทยาศาสตร์ได้แต่สามารถประจักษ์แจ้ง "ลักษณะ"ที่แท้จริงของจิตได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญาตาม "หนทาง" ที่พระผู้มีพระภาคได้ทรง "ตรัสรู้" และทรงแสดงไว้.
.
.
.
ความเห็นของแต่ละท่าน แตกต่างกันได้ ตามความคิดความเข้าใจไม่ว่าจะนับถือพระพุทธศาสนา หรือศาสนาอะไรก็ตาม
พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงธรรม และข้อประพฤติปฏิบัติที่ทำให้ปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ดำเนินไปจนถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้.
ฉะนั้น เมื่อทรงแสดงธรรมเรื่องของปุถุชนก็เป็นเรื่องของปุถุชนที่จะพิสูจน์ว่า พระธรรมที่ทรงแสดงนั้น เป็นจริงหรือไม่.?ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกุศล อกุศล เรื่องกิเลสต่างๆ นั้น จริงหรือไม่.?เรื่องวิบากที่รับผลของกรรม ตั้งแต่เกิดในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และ การคิดนึกที่เกิดในชีวิตประจำวันสภาพธรรมทั้งหลายเหล่านี้...จริงหรือไม่.?
พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เป็นหนึ่งไม่เป็นสอง คือ ไม่เปลี่ยนสภาพเป็นอย่างอื่นฉะนั้น ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดจึงรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้น เป็นธรรมของผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมผู้ที่ดับกิเลสหมดสิ้นแล้วจริงๆ .
แต่ถ้ายังไม่ได้ศึกษา ก็ยังคงสงสัยอยู่และถึงแม้จะได้ศึกษาแล้ว แต่ยังไม่ได้ประพฤติปฏิบัติตามก็ยังสงสัยในอริยสัจจธรรมอยู่นั่นเอง.

.
.
.ความสงสัยนี้จะดับหมดสิ้นไปได้ก็ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม จนรู้แจ้งอริยสัจจธรรมด้วยตนเอง.

จาก หนังสือตอบปัญหาธรรมโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
นายเรืองศิลป์
วันที่ 12 ก.พ. 2552

ต้องรู้ความจริงข้อหนึ่งว่า สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น มาจากพระปัญญา

ที่บำเพ็ญบารมีนานแสนนานกว่าสี่อสงไขย แสนกัลป์นั้นที่หาผู้เปรียบปานมิได้

เพราะฉะนั้น การรู้ตามของมนุษย์สมัยนี้จึงยากมาก ต้องอาศัยเวลานานมาก จึงจะรู้ตาม

ได้ อย่างไรก็ตามหากคำสอนใดรู้และปฏิบัติตามไม่ได้จะไม่ทรงตรัสสอน

การศึกษาพระธรรมให้ประจักษ์ในความเป็นจริงเรื่องของธรรมะใดๆ ก็ตาม ไม่เฉพาะ

ภพชาติ สังสารวัฏฏ์ จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัยของสภาพความจริงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นที

ละน้อย ทีละน้อย ในขณะที่ศึกษาพระธรรม

เมื่อสะสมเหตุปัจจัยพร้อมก็จะที่จะค่อยๆ รู้ตาม ทีละขั้น ทีละขั้น ข้ามขั้นไม่ได้เลย

ข้ามขั้นก็คือ อยากรู้ในสิ่งอื่นๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะชื่อของธรรมะมีมาก จึงสงสัยมาก

และอ่านค้นคว้าและเข้าใจเอง ซึ่งจะทำให้สงสัย ไม่เข้าใจ และคิดว่าเป็นของยากที่จะ

เข้าใจ หรืออาจจะเข้าใจผิดไปเรื่อยๆ เพราะคิดเอง

การศึกษาไปทีละขั้น ทีละขั้น คือฟังโดยพิจารณา ปัญญาจะเกิด ความจริงจะปรากฏ

โดยความจริงที่ประจักษ์อย่างหนึ่ง จะค่อยๆ ปรุงแต่งให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ขึ้นทีละ

เล็กละน้อย ในขณะที่ศึกษาพระธรรมอย่างถูกต้อง คือฟัง อ่าน ไตร่ตรอง เทียบเคียงกับ

ความเป็นจริง

การรู้ตามความเป็นจริงนี่เอง จะต้องเป็นขั้นๆ การสะสมอบรมปัญญาให้พอก็จะค่อยๆ รู้

ตามได้

ตัวอย่างของภพชาติ ชาติก่อนมีจริง

คุณเคยสังเกตมั้ยว่า

ทำไมบางคนจึงเข้าไปช่วยหมาขี้เรื้อน เข้าไปจับตัวโดยไม่รังเกียจ เข้าไปช่วยทายา

ให้อาหารทันทีที่เจอได้เลย

ศิลปินเอกของโลก แต่งเพลงคลาสสิกได้ตั้งแต่เด็ก

บางคนจับภู่กันครั้งแรกก็วาดรูปได้เลย สวยมากด้วย

ทำไมเราเจอหน้าคนแปลกหน้าคนนี้ครั้งแรก ก็ไม่ชอบเลย หรือเจอครั้งแรกก็ถูกชะตา

เลย

หรือบางคนได้ฟังธรรมไม่กี่ครั้งก็เข้าใจเลย

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นการสะสมสืบต่อจากภพชาติก่อนๆ ที่เคยเป็นมาทั้งสิ้น เมื่อเคยมีการ

สะสมเช่นไร ก็จะเป็นเช่นนั้น ต่อจากชาติก่อน

หากไม่มีชาติก่อนจะไม่สามารถ ทำสิ่งต่างๆ ได้ในครั้งแรกเลย

เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ลองศึกษาพิจารณาพระธรรมด้วยการฟัง ไต่ถาม เทียบเคียง ก็

จะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจ และเห็นโทษภัยของสังสารวัฏฏ์แน่นอนครับ

ขอเป็นกำลังใจและอนูโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
สุภาพร
วันที่ 12 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ และขอกราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวรเขตต์ ค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Khun
วันที่ 12 ก.พ. 2552

เนื่องจากหัวข้อเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยขอเล่าสู่กันฟัง (อ่าน) ค่ะ

เมื่อก่อนนั้น ดิฉันสงสัยมากว่าตัวดิฉัน มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แล้วถ้าตายแล้วไปไหนคือหายไปไหน หรือว่าหายไปเฉยๆ เลยหรือ ส่วนที่มีการรับรู้นั้นหายไปไหน เพราะยังมีร่างอยู่แล้วสิ่งนั้นทำไมหายไปไหน และเวลาไปงานศพ ก็จะชอบไปยืนมองร่างของคนตายตอนที่แต่งตัวร่างรอรดน้ำ และก็จะคิดทุกครั้งว่า ทำไมๆ นอนอยู่เฉยๆ ทำไมไม่กระดุกกระดิกเลย เคยเห็น active แล้วทำไมตอนนี้ถึงไม่รู้ไม่ชี้ให้คนอื่นมาจับตัวพลิกไปพลิกมาไม่โวยวายเลย ความรู้สึกนั้นหายไปไหนเพราะดูร่างแล้วทุกอย่างเหมือนเดิมเหมือนหลับเท่านั้น สิ่งที่รับรู้ในการกระทำทุกอย่างนั้นหายไปไหน แล้วก็คิดกลับมาอีกว่าสิ่งที่รับรู้นั้นมาจากไหน ก็เลยกลายเป็นคนที่คิดวนเวียนอยู่ว่า คนเรานั้นมาจากไหน มาอยู่ทำโน่นทำนี่ เป็นโน่นเป็นนี่ แล้วหายไปเลย หายไปไหน ติดต่อไม่ได้ คือ มาจากไหนแล้วไปไหน บางครั้งทำโน่นทำนี่อยู่ เช่น ในขณะที่นั่งหรือมี activities อื่นๆ อยู่ ก็จะสงสัยว่า เอ้ในขณะที่เรานั่งอยู่ตรงนี้ หรือ ทำอะไรอยู่ตรงนี้ นั้น มีเราอีกหรือเปล่าที่อยู่ที่อื่น หรือในขณะที่ (ขอโทษที่ต้องใช้คำนี้เนื่องจากต้องการให้เห็นภาพของความคิดในขณะนั้น) ทำธุระในห้องน้ำ ก็จะคิดอยู่เรื่อยๆ ว่า ถ้ามีเราที่อยู่ที่อื่น แล้วเราตรงนี้ทำธุระนี้ที่นี่ จะเลอะเทอะที่อื่นหรือเปล่า แต่ในขณะที่คิดนั้นก็คอยดูไปด้วยว่าเราทำอะไรเรียบร้อยดีมั้ย

ในตอนนั้นหลายคนก็จะชอบว่าเราว่ามีความคิดแปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้านว่าทำไมเราคิดอย่างนั้น และเนื่องจากความคิดของเราเองที่เป็นแบบนี้ก็เลยทำให้เราต้องหาความรู้โดยทางค้นคว้าจากหลายๆ ด้าน ก็ยังไม่ได้คำตอบสำหรับตัวเองเลย ไม่ว่าจะเป็นการกำเนิดของโลก อะไรที่ "Bang" สสารเกิดขึ้นได้อย่างไร แม้กระทั่งจุดกำเนิดของสิ่งมีชีวิต ก็ยังไม่ชัดว่าเมื่อมีจุดกำเนิดแล้ว แล้วก่อนหน้าจุดกำเนิดพวกนี้ไปอยู่ที่ไหน แล้วจุดดับเมื่อดับแล้วหายไปไหน แต่ที่แน่ๆ คือเห็นสิ่งมีชีวิตมาไม่มีชีวิต สิ่งพวกนี้มาจากไหน เมื่อมาแล้วไปไหน สรุปคือยังไม่ได้คำตอบ.

จนกระทั่งได้มาฟัง อ.สุจินต์ อธิบายเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ถึงกับ crazy มากเลย ก็เลยเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ในส่วนของที่เรียกว่า พระอภิธรรม กับ สติปัฎฐานทำให้ความสงสัยที่ว่า เรามาจากไหนแล้วไปไหน หรือเราอยู่ที่นี่แล้วอยู่ที่อื่นอีกหรือเปล่านั้นหายไปเลย แล้วยังได้ความรู้เพิ่มอีกมากมายเกี่ยวกับชีวิต ถึงแม้ว่าการเชื่อของดิฉันจะเป็นไปในลักษณะของการตัดสินแบบอัตตวิสัย (คือเชื่อว่ามันเป็นแบบนี้จริงๆ ) ตรงนี้ต้องขอยก เครดิต ให้กับ อ.สุจินต์ ค่ะ ขอขอบคุณอาจารย์อย่างสูงที่อยู่ ณ.ตรงนี้

จากเหตุและความสงสัย ที่เรียกในภาษาเราว่าชาตินี้และชาติหน้าของเจ้าของกระทู้หวังว่า เหตุการณ์และความคิดส่วนตัวของดิฉันคงเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบแก่ท่านค่ะ "ถ้าไม่มีชาติที่แล้ว งั้นชาตินี้เรามาจากไหน และถ้าชาตินี้ไม่มีแล้ว ในเมื่อเคยมี นั้นหายไปไหน"

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ