เทศนาสูตร .. พระธรรมเทศนา ๒ ประการ

 
บ้านธัมมะ
วันที่  11 ก.พ. 2552
หมายเลข  11232
อ่าน  2,074

... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๑๔ ก.พ. ๒๕๕๒ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น. คือ ...

เทศนาสูตรว่าด้วยพระธรรมเทศนา ๒ ประการ

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ ๒๘๑


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ - หน้าที่ ๒๘๑


๒. เทศนาสูตรว่าด้วยพระธรรมเทศนา ๒ ประการ

[๒๑๗] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว พระสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเทศนา ๒ประการของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีโดยปริยาย ๒ประการเป็นไฉน คือ ธรรมเทศนาประการที่ ๑ นี้ว่า เธอทั้งหลายจงเห็นบาปโดยความเป็นบาป ธรรมเทศนาประการที่ ๒ แม้นี้ว่า เธอทั้งหลายครั้นเห็นบาปโดยความเป็นบาปแล้ว จงเบื่อหน่าย จงคลายกำหนัด จงปลดเปลื้องในบาปนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเทศนา๒ ประการนี้ ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมมีโดยปริยาย.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนี้ พระ-ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

เธอจงเห็นการแสดงโดยปริยายของพระตถาคต พระพุทธเจ้าผู้อนุเคราะห์สัตว์ทุกหมู่เหล่า ก็ธรรม ๒ ประการ พระ-ตถาคต พระพุทธเจ้า ผู้อนุเคราะห์สัตว์ทุกหมู่เหล่าประกาศแล้ว. เธอทั้งหลาย ผู้ฉลาดจงเห็นบาป จงคลายกำหนัดในบาปนั้น เธอทั้งหลาย ผู้มีจิตคลายกำหนัดจากบาปนั้นแล้ว จักกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้.

เนื้อความแม้นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้นข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล.

จบเทศนาสูตรที่ ๒


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
บ้านธัมมะ
วันที่ 11 ก.พ. 2552

อรรถกถาเทศนาสูตร

ในเทศนาสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- ปริยายศัพท์ในบทว่า ปริยาเยน นี้ มาในความว่า เทศนาในบทมีอาทิว่า มธุปิณฺฑิกปริยาโย เตฺวว นํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำเทศนานั้นไว้ว่า เป็นมธุปิณฑิกปริยายเทศนา ดังนี้ . มาในความว่าเหตุในบทมีอาทิว่า อตฺถิ เขฺวส พฺราหฺมณ ปริยาโย เยน มํ ปริยายนสมฺมา วทมาโน วเทยฺย อกิริยวาโท สมโณ โคตโม ดูก่อนพราหมณ์เหตุนี้มีอยู่แล เมื่อจะกล่าวกะเราโดยชอบด้วยเหตุ พึงกล่าวว่า สมณ-โคดม เป็นอกิริยวาท (วาทะว่าไม่เป็นอันทำ) ดังนี้. มาในความว่า วาระในบทมีอาทิว่า กสฺส นุ โข อานนฺท อชฺช ปริยาโย ภิกฺขุนิโย โอวทิตุ ดูก่อนอานนท์ วันนี้ถึงวาระของใครจะสอนภิกษุณีทั้งหลาย ดังนี้. ก็ในที่นี้ สมควรทั้งในวาระ ทั้งในเหตุ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ธรรมเทศนา ๒ อย่าง ของตถาคต ย่อมมีขึ้นโดยเหตุ และโดยวาระตามสมควร ดังนี้ นี้เป็นอธิบายในบทนี้.

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า บางครั้งทรงจำแนกกุศลธรรมและอกุศลธรรม ตามสมควรแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์ โดยนัยมีอาทิว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ควรเสพ ธรรมเหล่านี้ไม่ควรเสพดังนี้ ทรงแสดงให้รู้โดยไม่ปนอกุศลธรรมเข้ากับกุศลธรรม ทรงแสดงธรรมว่า พวกเธอจงเห็นบาปโดยความเป็นบาป. บางครั้งทรงประกาศโทษ โดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปาณาติบาตที่บุคคลเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ให้เป็นไปในนรก ให้เป็นไปในกำเนิดเดียรัจฉาน ให้เป็นไปในเปรตวิสัย ปาณาติบาตที่เบากว่าบาปทั้งปวง ทำให้มีอายุน้อย ดังนี้ ทรงให้พรากจากบาปด้วยนิพพิทาเป็นต้น ทรงแสดงธรรมว่า พวกเธอจงเบื่อหน่าย จงคลายกำหนัดดังนี้. บทว่า ภวนฺติ ได้แก่ ย่อมมี คือ ย่อมเป็นไป. บทว่า ปาปํปาปกโต ปสฺสถ ความว่า พวกเธอจงเห็นธรรมอันลามกทั้งปวง โดยเป็นธรรมลามก เพราะนำสิ่งไม่เป็นประโยชน์ และทุกข์มาในปัจจุบันและอนาคต. ในบทเหล่านั้น บทว่า นิพฺพินฺทถ ความว่า พวกเธอเห็นโทษมีอย่างต่างๆ กัน โดยนัยมีอาทิว่า บาปชื่อว่าเป็นบาป เพราะเป็นของลามก โดยความเป็นของเลวส่วนเดียว ชื่อว่า เป็นอกุศลเพราะเป็นความไม่ฉลาด ชื่อว่าเป็นความเศร้าหมอง เพราะทำจิตที่เคยประภัสสร และผ่องใส ให้พินาศจากความประภัสสรเป็นต้น ชื่อว่าทำให้มีภพใหม่ เพราะทำให้เกิดทุกข์ในภพบ่อยๆ ชื่อว่า มีความกระวนกระวาย เพราะเป็นไปกับด้วยความกระวนกระวาย คือความเดือดร้อนชื่อว่า มีทุกข์เป็นวิบาก เพราะให้ผลเป็นทุกข์อย่างเดียว ชื่อว่า เป็นเหตุให้มีชาติ ชรา และมรณะต่อไป เพราะทำให้มีชาติ ชรา และมรณะในอนาคตตลอดกาลนานไม่มีกำหนด สามารถกำจัดประโยชน์สุขทั้งหมดได้ และเห็นอานิสงส์ในการละบาปนั้นด้วยปัญญาชอบ จงเบื่อหน่าย คือ ถึงความเบื่อหน่ายในธรรมอันลามกนั้น เมื่อเบื่อหน่ายพึงเจริญวิปัสสนาแล้วจงคลายกำหนัด และจงปลดเปลื้องจากบาปนั้นโดยความเป็นบาป ด้วยบรรลุอริยมรรค หรือจงคลายกำหนัดด้วยการคลายอย่างเด็ดขาด ด้วยมรรค แต่นั้นจงปลดเปลื้องด้วยปฏิปัสสัทธิ-วิมุตติด้วยผล. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปาปํ ได้แก่ ชื่อว่า บาป เพราะเป็นของลามก. ถามว่า ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ตอบว่า ชื่อว่า บาป เพราะเป็นสิ่งน่ารังเกียจ คือ พระอริยะเกลียดโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นต้น ยังสัตว์ให้ถึงทุกข์ในวัฏฏะ. ถามว่า ก็บาปนั้นเป็นอย่างไร. ตอบว่า เป็นธรรมชาติทำให้เกิดในภูมิ ๓ พวกเธอเห็นบาปโดยความเป็นบาป มีเนื้อความตามที่กล่าวแล้ว เจริญวิปัสสนาโดยนัยมีอาทิว่า โดยความเป็นของไม่เที่ยง โดยความเป็นทุกข์โดยความเป็นโรค โดยความเป็นลูกศร โดยความเป็นของชั่ว โดยความเบียด-เบียน ดังนี้ จงเบื่อหน่ายในบาปนั้น. บทว่า อยมฺปิ ทุติยา ได้แก่ธรรมเทศนาประการที่ ๒ นี้ เป็นการเลือกปฏิบัติจากธรรมนั้น อาศัยธรรมเทศนาประการที่ ๑ อันแสดงถึงสิ่งไม่เป็นประโยชน์ และความฉิบหายโดยความแน่นอน. พึงทราบอธิบายในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้. บทว่า พุทฺธสฺสได้แก่ พระสัพพัญญพุทธเจ้า. บทว่า สพฺพภูตานุกมฺปิโน ได้แก่ พระ-พุทธเจ้าผู้อนุเคราะห์สัตว์ทั้งหมดด้วยมหากรุณา. บทว่า ปริยายวจนํได้แก่ การกล่าว คือ การแสดงโดยปริยาย. บทว่า ปสฺส คือ ทรงร้องเรียกบริษัท. ท่านกล่าวหมายถึง บริษัทผู้เป็นหัวหน้า. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ปสฺส หมายถึงพระองค์เท่านั้น. บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในบาปนั้น. บทว่า วิรชฺชถ ความว่าพวกเธอจงละความกำหนัด. บทที่เหลือมีนัยดังได้กล่าวแล้วนั่นแล.

จบอรรถกถาเทศนาสูตรที่ ๒

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 13 ก.พ. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pornpaon
วันที่ 14 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ