ชั้นพรหม......

 
oom
วันที่  12 ก.พ. 2552
หมายเลข  11239
อ่าน  2,328
อยากทราบว่าผู้ที่ไปเกิดในชั้นพรหม เป็นพระโสดาบันหรือยัง

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 13 ก.พ. 2552
บุคคลที่สามารถเกิดในพรหมโลกได้มีหลายจำพวก คือ ปุถุชนผู้ได้ฌานไม่เสื่อม ๑ พระโสดาบันผู้ได้ฌาน ๑ พระสกทาคามีผู้ได้ฌาน ๑ พระอนาคามี ๑ การจะเกิดพรหมโลกชั้นไหนขึ้นอยู่ที่การเจริญฌานของบุคคลนั้น ถ้าได้รูปฌานขั้นปฐมฌานย่อมเกิดชั้นปฐมฌาน ตามลำดับถึงปัญจมฌาน ส่วนผู้ที่ได้อรูปฌานย่อมเกิดในชั้นอรูปพรหมภูมิ ตามลำดับฌานของตน ส่วนพระอนาคามีบุคคลผู้ได้ปัญจมฌานท่านย่อมเกิดในพรหมชั้นสุทธาวาสครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kengjig
วันที่ 13 ก.พ. 2552
แล้วคนที่ได้ ฌานที่ไม่เสื่อม ต้องเป็นพระโสดาบันทุกคนด้วยหรือป่าวครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
prachern.s
วันที่ 13 ก.พ. 2552
พระอริยบุคคลเมื่อได้ฌานแล้ว ฌานจะไม่เสื่อม แต่ปุถุชนไม่แน่นอน
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
oom
วันที่ 13 ก.พ. 2552

ผู้ที่เป็นพระโสดาบันจะละคลายความเป็นตัวตนได้ ถ้าละคลายความเป็นตัวตนได้ ทำไมจึงยังมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่ หรือว่าคนละส่วนกัน ดิฉันเข้าใจว่าคนที่มีโลภะ โทสะ โมหะ แสดงว่ายังมีตัวตนอยู่ใช่หรือไม่ค่ะ สับสนจัง

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 14 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโสดาบันบุคคล เป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานเป็นครั้งแรก สามารถดับกิเลสได้เป็นบางประเภท คือ ละความเห็นผิดได้ทั้งหมด ละความลังเลสงสัยในสภาพธรรม ละความตระหนี่ ละความริษยา ไม่มีความลำเอียง และเป็นผู้ปิดประตูอบายได้สนิท ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกต่อไป อีกทั้งเป็นผู้ที่มีความมั่นคงในพระรัตนตรัย และมีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์ ในความเป็นจริงแล้ว พระโสดาบัน ไม่มีความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่เนื่องจากว่า พระโสดาบัน ไม่ใช่พระอรหันต์ จึงยังเป็นผู้ที่มีกิเลสจริง ยังมีโลภะ ยังมีโทสะ และยังมีโมหะ (อวิชชา) แต่โลภะ โทสะ และโมหะ ที่ท่านยังมีนั้น ไม่เป็นไปเพื่ออบายภูมิ เพราะท่านละโลภะ โทสะ โมหะที่เป็นเหตุให้ไปสู่อบายภูมิได้ทั้งหมด ดังนั้น ปุถุชนกับพระอริยบุคคลจึงมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 15 ก.พ. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11239 ความคิดเห็นที่ 4 โดย oom

ผู้ที่เป็นพระโสดาบันจะละคลายความเป็นตัวตนได้ ถ้าละคลายความเป็นตัวตนได้ ทำไมจึงยังมีโลภะ โทสะ โมหะอยู่ หรือว่าคนละส่วนกัน ดิฉันเข้าใจว่าคนที่มีโลภะ โทสะ โมหะ แสดงว่ายังมีตัวตนอยู่ใช่หรือไม่ค่ะ สับสนจัง

ความเป็นเรา เป็นตัวตน มี 3 อย่างคือ เป็นเราด้วยตัณหา (โลภะ) เป็นเราเป็นตัวตน ด้วยมานะ เป็นเราเป็นตัวตนด้วยทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ดังนั้นแม้สามารถจะดับความเห็น ผิดว่าเป็นสัตว์บุคคลตัวตน ละความยึดถือว่าเป็นเราได้แล้ว แต่ยังมีกิเลสที่เป็นโลภะ ประเภทอื่นๆ แต่ไม่ได้มีความเห็นผิดว่าเป็นเราแล้วครับ แต่ยังมีความเป็นเราด้วยโลภะ และมานะอยู่ครับ กิเลสมีมากถึงมีพระอริยบุคคลหลายลำดับขั้นเพื่อดับกิเลสที่มีมาก ดังนั้น จึงต้องแยกว่าความมีตัวตนนั้นมีด้วย ตัณหา มานะและทิฏฐิ ซึ่งพระโสดาบันละ- ความเห็นผิดจึงไม่มีตัวตนด้วยทิฏฐิแต่มีความเป็นเราด้วยกิเลสประการต่างๆ ด้วย โลภะ และมานะครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
oom
วันที่ 15 ก.พ. 2552

ขอบพระคุณมากค่ะ ที่ให้ความรู้ ความเข้าใจได้อย่างชัดเจน

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornchai.s
วันที่ 15 ก.พ. 2552

อนุโมทนาสาธุในธรรมอันท่านกล่าวไว้ดีแล้ว

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wirat.k
วันที่ 15 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
narong.p
วันที่ 18 ก.พ. 2552

พระโสดาบันละสักกายะทิฏฐิได้เป็นสมุทเฉจ จึงไม่มีความเห็นผิดว่ามีตัวตน แต่ยังไม่สามารถละมานะเจตสิกและ โลภเจตสิกได้ เจตสิกทั้งสองก็ทำหน้าที่ตามสภาพธรรมนั้นๆ คือ ยังมีลักษณะความติดข้องในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสอยู่และยังมีลัษณะความถือตัว ถือตนปรากฏอยู่เพราะมานะทำหน้าที่นั่นเอง ซึ่ง ดูเหมือน ยังมีความเป็นตัวตนอยู่ แม้แต่สกิทาคามีและอนาคามีก็ยังคงมีเช่นกัน เพราะยังละเจตสิก ทั้งสองคือโลภะและมานะ ยังไม่ได้นั่นเอง ก็เหมือนกับสภาพธรรมอื่นๆ เช่น สัญญา ก็ทำหน้าที่ จำ ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย จักขุวิญญาณก็ทำหน้า ที่ เห็น ไม่ทำอย่างอื่นเลย เป็นต้น

ดังนั้นพระโสดาบันก็ยังคงต้องมีลักษณะติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ด้วย โลภะเกิดขึ้นทำหน้าที่ติดข้อง และยังคงมีความถือตัวถือตนเพราะยังไม่ ดับมานะเจตสิกเป็นสมุทเฉจ ครับ โลภะคือความติดข้อง ไม่ใช่ความเป็นตัวตน มานะคือความถือตัวถือตน ไม่ใช่ความเป็นตัวตน สภาพความติดข้องของโลภะและสภาพความถือตัวตนของมานะ จึงดูเสมือนว่ายังเป็นตัวตนอยู่นั่นเอง แต่ไม่ใช่ยังมีความเป็นตัวตน ครับ เพราะความเป็นตัวตนคือ ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งพระโสดาบันละได้เป็นสมุทเฉจ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ajarnkruo
วันที่ 18 ก.พ. 2552
พระโสดาบันละความเห็นผิดว่าเป็นเราด้วยทิฏฐิได้ ท่านจึงจะไม่มีความเห็นผิดว่าธรรมะเป็นท่าน หรือธรรมะเป็นตัวตนอีก เพราะท่านดับความเห็นผิดหมดแล้ว แต่เมื่อท่านยังไม่ได้ดับโลภะที่ติดในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส และอื่นๆ เมื่อมีเหตุปัจจัย โลภะก็ย่อมเกิดได้ตามการสะสม เป็นธรรมดา ไม่ผิดปกติ ท่านยังมีความเป็นเราด้วยโลภะคือ เป็นโลภะด้วยโลภะ ในขณะที่โลภะเกิดปรากฏครับ นัยเดียวกับมานเจตสิกที่พระโสดาบัน ท่านยังไม่ได้ดับ เวลาที่สภาพธรรมเหล่านี้เกิด ท่านไม่มีความสงสัยในธรรมทั้งหมดที่ปรากฏกับท่านอีกเลย แต่ท่านรู้ด้วยปัญญาว่า ยังมีกิจที่จะต้องดับกิเลสที่ยังมีอยู่ ในที่นี้ ก็รวมทั้งโทสะ โมหะ และอกุศลธรรมอื่นๆ ทุกประการด้วยครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
oom
วันที่ 18 ก.พ. 2552

ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่างมีความละเอียดลึกซึ้งจริงๆ ถ้าไม่ได้มาศึกษา ฟังธรรม และ อ่านข้อความจากบ้านธัมมะ ก็คงยังไม่เข้าใจ ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ ความรู้ความเข้าใจ ที่เป็นประโยชน์ต่อดิฉันและคนอื่นๆ อย่างมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pornpaon
วันที่ 18 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ