การใช้ปัญญาละโลภะที่ถูกต้อง

 
Nareopak
วันที่  14 ก.พ. 2552
หมายเลข  11261
อ่าน  1,717

ช่วยยกตัวอย่าง ในเรื่องของการใช้ปัญญาละโลภะ..ละโทสะ...ละโมหะ ให้เกิดความ เข้าใจถูก ด้วยค่ะ (คือถ้าเรายังไม่รู้ว่านี่เป็นปัญญา แล้วจะใช้ปัญญาละกิเลสได้อย่างไร)


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 15 ก.พ. 2552

ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาด้วยการค่อยๆ ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง แล้วจะรู้ว่าใช้ปัญญาไม่ได้ เพราะปัญญาเป็นธรรมะ และเป็นอนัตตา เกิดแล้วก็ดับตามเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ปัญญาเกิด ปัญญา ก็เกิดแล้วทำหน้าที่ละกิเลสตามกำลังของปัญญาซึ่งมีหลายขั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 15 ก.พ. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 15 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ธรรมทำหน้าที่ ไม่ใช่เราจะไปบังคับหรือจัดการธรรม ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ปัญญาก็ ทำหน้าที่ละความไม่รู้ขั้นการฟัง แต่ยังไม่สามารถละกิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะได้ จึง ต้องเป็นเรื่องความอดทนเพราะปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับ ปัญญาขั้นการฟัง ขั้นคิด พิจารณา ขั้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่การจะละกิเลสได้จริงๆ ต้องเป็นปัญญา ที่ถึงความเป็นพระอริยบุคคลครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pornchai.s
วันที่ 15 ก.พ. 2552

ความเข้าใจพระธรรม ก็เป็นลักษณะของ ปัญญาเจตสิกครับ ความเข้าใจลักษณะของสภาวธรรม ก็เป็นปัญญาเหมือนกัน เช่น เข้าใจลักษณะของกุศล ว่าต่างกับอกุศลอย่างไร ปัญญาทำหน้าที่เข้าใจ ครับ ไม่ใช่ตัวเราที่เข้าใจ ซึ่งปัญญาก็มีหลายระดับ หลายขั้น อย่างคุณผเดิม (คห.๔) ว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 16 ก.พ. 2552
ปัญญาขั้นแรก คือ สุตมยปัญญา เจริญขึ้นได้ด้วยการฟังพระธรรม ฟังจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าทุกอย่างในชีวิตในประจำวันที่ไม่เคยรู้เลย เป็นธรรมะทั้งหมด เป็นสิ่งที่มีจริง มีเป็นปกติ มีลักษณะปรากฏไม่พ้นไปจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่แม้มีจริง ก็เป็นสิ่งที่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมก็จะไม่มีทางรู้ได้ว่า เป็นธรรมะแต่ละประเภทที่ไม่ปนกัน และที่สำคัญไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เราได้อย่างไรครับ ค่อยๆ ฟังไป พิจารณาตามไปจนกว่าจะได้เหตุและผลอย่างละเอียดจริงๆ ว่า ...เมื่อตั้งต้นด้วย "ทุกอย่างเป็นธรรมะ ก็คือต้องเป็นธรรมะ " จะหวนกลับมาเป็นอัตตา มาเป็นเราอีก ก็ย่อมจะไม่ตรงแล้ว ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ตั้งต้นด้วยการฟังใหม่ พิจารณาตามใหม่ จนกว่าจะมีความมั่นคงว่า...ทุกอย่างเป็นธรรมะจริงๆ ครับ เมื่อค่อยๆ มีความเห็นถูกขึ้นทีละนิดๆ ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่มีเราจริงๆ ก็จะค่อยๆ คลายความมีตัวตนที่ต้องการที่จะจัดการกับธรรมะได้ ตามขั้นของปัญญา เพราะรู้ความจริงชัดเจนขึ้นว่า ใครก็ทำอะไรกับสภาพธรรมะไม่ได้ และก็ไม่มีใครจะสามารถใช้สภาพธรรมที่เกิด - ดับ เป็นไปตามเหตุปัจจัย เพื่อจะไปละอีกสภาพธรรมหนึ่ง ซึ่งก็เกิด - ดับ เป็นไปตามเหตุปัจจัย ได้เช่นกันครับ ปัญญาขั้นแรก คือขั้นฟังนั้นสำคัญมาก แม้พระอัครสาวก ถ้าท่านไม่ได้ฟัง ท่านก็ไม่สามารถบรรลุธรรมเองได้ แต่สำหรับในยุคนี้ เพียงมีโอกาสได้เริ่มฟัง ก็คือฟังเพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เคยรู้ความจริงมาก่อนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นครับ ถ้าเรายังฟังพระธรรมไม่เข้าใจ เราก็จะไปละสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจไม่ได้ครับ เช่นโลภะ ถ้าเราไม่เข้าใจว่าโลภะเป็นธรรมะ เราก็ทำอะไรกับโลภะที่เกิด-ดับอย่างรวดเร็วแม้ในขณะนี้ไม่ได้เลย เพราะการยึดถือสภาพธรรมะด้วยความเห็นผิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ไม่สามารถจะทำเกิดปัญญาที่จะละโลภะได้ครับ มีแต่จะพอกพูนโลภะให้มากยิ่งขึ้นไปอีก จะเอาปัญญามาใช้ละก็ไม่ได้ เพราะปัญญาก็เป็นธรรมะ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเช่นกัน แต่ว่า ปัญญาเป็นธรรมะที่ห่างไกลจากโลภะมาก มีกิจคือรู้ชัดความจริง ไม่ใช่แต่เพียงรู้ชัดในโลภะเท่านั้น แต่ว่าจะต้องรู้ชัดในสภาพธรรมทุกอย่างที่ปรากฏ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ปัญญาเมื่อเกิด ก็จะทำกิจของปัญญาตามขั้นนั้นๆ ครับ เริ่มต้นด้วย ปัญญาขั้นฟัง คือ ฟังชื่อ เรื่องราว เข้าใจชื่อ เรื่องราวของสภาพธรรมประการต่างๆ แล้วใคร่ครวญเหตุผลจากพระธรรมที่ได้ฟัง จนกว่าจะเข้าใจความจริงว่าไม่ใช่เพียงแต่ฟังชื่อลอยๆ แต่กำลังฟังชื่อที่ชี้บ่งถึงความจริงที่กำลังมีปรากฏแม้ในขณะนี้ ที่ปัญญาเมื่อเจริญขึ้น ก็ควรจะได้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงนี้ ไม่ใช่สิ่งอื่น เช่น กำลังเห็น และ ก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธรรมะ ไม่ใช่เราเห็น ไม่ใช่ตัวตน เป็นต้นครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Nareopak
วันที่ 16 ก.พ. 2552

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะที่ท่าน ajarnkruo มีเมตตาสละเวลาของท่านอธิบายถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นค่ะ แต่ บางครั้งหู ได้ยินเสียง แต่ระลึกรู้ไม่ทัน (ว่าเป็นเพียงเสียงที่ได้ยินและเป็นสภาพธรรมะ) จิตคิดไปก่อนแล้วว่าเป็นวิบาก (จึงได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ที่คิดว่าเป็นวิบากแสดงว่า ยังมีความเป็นเราใช่ไหมค่ะ) มาระลึกได้ทีหลังขณะนั้นไม่มีโทสะเกิด

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
booms
วันที่ 16 ก.พ. 2552

เห็นด้วยกับทุกความคิดเห็นข้างบน แต่ขั้นแรกสุดควรจะต้องศึกษาอภิธรรมในเรื่องของ จิต เจตสิต รูป ให้เข้าใจอย่างละเอียดลึกซึ้งเสียก่อน เป็นต้นว่า ขณะนี้ถามตัวเองว่า จิตขณะนี้เป็นกุศล หรือ อกุศล ถ้าเป็นโลภะ ก็ต้องรู้ว่าเป็นโลภะจิตดวงไหนใน 8 ดวง มีสัมปยุต กับเจตสิตตัวใด กลุ่มใดบ้าง อย่างนี้เป็นการแทงตลอดสัมปยุตธรรม โดย นัยยของการเจริญสติปัฏฐาน

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 18 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

เรียนคุณ booms

การจะเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป อย่างละเอียดลึกซึ้งจนถึงขนาดรู้ว่า เป็นโลภะจิตดวงไหนใน 8 ดวง และสัมปยุตกับเจตสิกตัวใด กลุ่มใดบ้าง จนเป็นระดับแทงตลอดสัมปยุตธรรมนั้น เป็นปัญญาขั้นที่สูงยิ่งกว่าปัญญาความเข้าใจในขั้นการฟังหรือเปล่าคะ และต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรมเจริญปัญญามามากอย่างยิ่งจึงแทงตลอดได้อย่างนั้น

แม้เพียงการจะรู้และเข้าใจว่า ความชอบใจนิดหน่อยก็เป็นโลภะ เป็นเพื่อนสนิทจนแยกไม่ออกและไม่รู้ตัวเลยนั้น

...ก็ยังยากแล้วค่ะ...

ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นโลภะดวงที่เท่าไหร่ ชื่ออะไร สัมปยุตกับเจตสิกประเภทใด ณ เวลานี้ เพียงจะไม่เข้าใจผิดว่าโลภะเป็นกุศลเป็นเมตตา

เข้าใจถูกตรงในขณะนั้นว่า โลภะ คือ โลภะ เป็นอกุศล

เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ถูกต้องตามความเป็นจริง

ก็เห็นว่าน่าจะยังต้องอาศัยการฟังการศึกษาไปอีกยาวนานมากค่ะ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ajarnkruo
วันที่ 18 ก.พ. 2552

จะระลึกได้ในขณะไหนก็ตามแต่ เป็นเรื่องของการเข้าใจให้มากขึ้นว่าเป็นธรรมะทั้งหมดครับ เรื่องทัน หรือ ไม่ทัน ไม่ควรใส่ใจถึง เพราะสภาพธรรมเกิด-ดับรวดเร็วมาก และก็เป็นกิจของสติและปัญญาที่จะระลึกรู้ได้ตามกำลังด้วย ไม่ใช่เราครับ สภาพธรรมที่ดับหมดไปแล้ว แต่ไม่รู้ ก็แล้วกันไปเพราะกลับไปให้รู้ไม่ได้ ถ้ายังมีปัจจัยให้หลงลืมสติ ก็ต้องหลงลืมสติ แต่สภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้เกิดแล้ว มีอยู่ ปรากฏอยู่ เป็นสิ่งที่สติควรจะได้ระลึก และ ปัญญาควรจะได้ศึกษา พิจารณา เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่าลักษณะที่ปรากฏนี้ ไม่ใช่เพียงชื่อ และไม่ใช่ตัวตนอย่างไร มากกว่าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
booms
วันที่ 21 ก.พ. 2552

ต้องไม่ลืมว่าพระอภิธรรมคือปัญญาชั้นเลิศของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมมที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึก …............

ยอมรับเลยว่าไม่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ในสิ่งที่พระพุทธ-เจ้าตรัสรู้ภายในระยะเวลาสั้นๆ หรือในชาตินี้ (สำหรับบางคนที่ไม่ได้เกิดด้วยเหตุ 3) ต้องอาศัยการอบรมเจริญอินทรีย์ทั้ง 5 อันได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ (ต้องไม่ใช่สมาธิแบบมิจฉาทิฐฐิ) และปัญญา

หากศึกษาไปมากๆ ก็ต้องอาศัยมรรค 5 องค์ อันได้แก่ ...

สัมมาวายามะ

สัมมาทิฐฐิ

สัมมาสังกัปป

สัมมาสติ

สัมมาสมาธิ

ส่วนมรรคอีก 3 องค์คือ สัมมาวาจา สัมมากัมตตะ สัมมาอาชีวะ

ต้องรอให้ประกอบเข้าด้วยกันในวิปัสสนาญาณขั้นสูง

หากคุณได้ทำการศึกษา พระอภิธรรมให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ละเอียด

คุณจะพบว่าที่ว่าเป็นตัวเรานั้น มันไม่มีอะไรเป็นของเราเลย แม้แต่สัตว์ สิ่งของ บุคคลตัวตน ก็ไม่มี มีเพียงแต่จิต เจตสิต รูป เกิดดับ เกิดดับ ในแต่ละอารมณ์ ทีได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือในแต่ละขณะจิต

ขออนุโมทนาสำหรับทุกท่านที่ได้ศึกษาพระปัญญาของพระพุทธเจ้าอันจะเป็นอุปปนิส-สยปัจจัยให้แจ้งถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะนำไปถึงพระนิพพาน…………………

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
pornpaon
วันที่ 24 ก.พ. 2552

ต้องไม่ลืมว่าพระอภิธรรมคือปัญญาชั้นเลิศของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึก…...........ยอมรับเลยว่าไม่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภายในระยะเวลาสั้นๆ หรือในชาตินี้

ขออนุโมทนาค่ะคุณ booms

พระปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องควรรู้ตามควรศึกษาตาม แต่เป็นไปได้โดยช้า ครั้งแรกที่ทักท้วง เพราะสะดุดคำว่าต้องรู้ว่าเป็น โลภะจิตดวงไหน ใน 8 ดวง มีสัมปยุต กับเจตสิตตัวใด กลุ่มใดบ้าง อย่างนี้เป็นการ แทงตลอดสัมปยุตธรรม เพราะมิใช่ของง่ายที่จะรู้ได้ขนาดนั้น ขณะจิตแต่ละขณะรวดเร็วมาก

ยินดีที่ได้อ่านความคิดเห็นของคุณ ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
Nareopak
วันที่ 24 ก.พ. 2552

ยอมรับเลยว่าไม่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภายในระยะเวลาสั้นๆ หรือในชาตินี้.......เห็นด้วยเลยค่ะแต่ก็ไม่ย่อท้อที่จะตามรอยองค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะที่เมตตาแสดงความคิดเห็น

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
paderm
วันที่ 24 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาเช่นกันครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
khampan.a
วันที่ 27 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาด้วยครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ