การใช้ปัญญาละโลภะที่ถูกต้อง
ช่วยยกตัวอย่าง ในเรื่องของการใช้ปัญญาละโลภะ..ละโทสะ...ละโมหะ ให้เกิดความ เข้าใจถูก ด้วยค่ะ (คือถ้าเรายังไม่รู้ว่านี่เป็นปัญญา แล้วจะใช้ปัญญาละกิเลสได้อย่างไร)
ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาด้วยการค่อยๆ ฟังให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง แล้วจะรู้ว่าใช้ปัญญาไม่ได้ เพราะปัญญาเป็นธรรมะ และเป็นอนัตตา เกิดแล้วก็ดับตามเหตุปัจจัย เมื่อมีเหตุปัจจัยให้ปัญญาเกิด ปัญญา ก็เกิดแล้วทำหน้าที่ละกิเลสตามกำลังของปัญญาซึ่งมีหลายขั้น
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ธรรมทำหน้าที่ ไม่ใช่เราจะไปบังคับหรือจัดการธรรม ขณะที่ฟังธรรมเข้าใจ ปัญญาก็ ทำหน้าที่ละความไม่รู้ขั้นการฟัง แต่ยังไม่สามารถละกิเลส คือโลภะ โทสะ โมหะได้ จึง ต้องเป็นเรื่องความอดทนเพราะปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับ ปัญญาขั้นการฟัง ขั้นคิด พิจารณา ขั้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม แต่การจะละกิเลสได้จริงๆ ต้องเป็นปัญญา ที่ถึงความเป็นพระอริยบุคคลครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ความเข้าใจพระธรรม ก็เป็นลักษณะของ ปัญญาเจตสิกครับ ความเข้าใจลักษณะของสภาวธรรม ก็เป็นปัญญาเหมือนกัน เช่น เข้าใจลักษณะของกุศล ว่าต่างกับอกุศลอย่างไร ปัญญาทำหน้าที่เข้าใจ ครับ ไม่ใช่ตัวเราที่เข้าใจ ซึ่งปัญญาก็มีหลายระดับ หลายขั้น อย่างคุณผเดิม (คห.๔) ว่า
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะที่ท่าน ajarnkruo มีเมตตาสละเวลาของท่านอธิบายถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือทำให้เกิดความเข้าใจขึ้นค่ะ แต่ บางครั้งหู ได้ยินเสียง แต่ระลึกรู้ไม่ทัน (ว่าเป็นเพียงเสียงที่ได้ยินและเป็นสภาพธรรมะ) จิตคิดไปก่อนแล้วว่าเป็นวิบาก (จึงได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ที่คิดว่าเป็นวิบากแสดงว่า ยังมีความเป็นเราใช่ไหมค่ะ) มาระลึกได้ทีหลังขณะนั้นไม่มีโทสะเกิด
เห็นด้วยกับทุกความคิดเห็นข้างบน แต่ขั้นแรกสุดควรจะต้องศึกษาอภิธรรมในเรื่องของ จิต เจตสิต รูป ให้เข้าใจอย่างละเอียดลึกซึ้งเสียก่อน เป็นต้นว่า ขณะนี้ถามตัวเองว่า จิตขณะนี้เป็นกุศล หรือ อกุศล ถ้าเป็นโลภะ ก็ต้องรู้ว่าเป็นโลภะจิตดวงไหนใน 8 ดวง มีสัมปยุต กับเจตสิตตัวใด กลุ่มใดบ้าง อย่างนี้เป็นการแทงตลอดสัมปยุตธรรม โดย นัยยของการเจริญสติปัฏฐาน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
เรียนคุณ booms
การจะเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป อย่างละเอียดลึกซึ้งจนถึงขนาดรู้ว่า เป็นโลภะจิตดวงไหนใน 8 ดวง และสัมปยุตกับเจตสิกตัวใด กลุ่มใดบ้าง จนเป็นระดับแทงตลอดสัมปยุตธรรมนั้น เป็นปัญญาขั้นที่สูงยิ่งกว่าปัญญาความเข้าใจในขั้นการฟังหรือเปล่าคะ และต้องเป็นผู้ที่สะสมอบรมเจริญปัญญามามากอย่างยิ่งจึงแทงตลอดได้อย่างนั้น
แม้เพียงการจะรู้และเข้าใจว่า ความชอบใจนิดหน่อยก็เป็นโลภะ เป็นเพื่อนสนิทจนแยกไม่ออกและไม่รู้ตัวเลยนั้น
...ก็ยังยากแล้วค่ะ...
ยังไม่ต้องกล่าวถึงว่าเป็นโลภะดวงที่เท่าไหร่ ชื่ออะไร สัมปยุตกับเจตสิกประเภทใด ณ เวลานี้ เพียงจะไม่เข้าใจผิดว่าโลภะเป็นกุศลเป็นเมตตา
เข้าใจถูกตรงในขณะนั้นว่า โลภะ คือ โลภะ เป็นอกุศล
เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ถูกต้องตามความเป็นจริง
ก็เห็นว่าน่าจะยังต้องอาศัยการฟังการศึกษาไปอีกยาวนานมากค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
จะระลึกได้ในขณะไหนก็ตามแต่ เป็นเรื่องของการเข้าใจให้มากขึ้นว่าเป็นธรรมะทั้งหมดครับ เรื่องทัน หรือ ไม่ทัน ไม่ควรใส่ใจถึง เพราะสภาพธรรมเกิด-ดับรวดเร็วมาก และก็เป็นกิจของสติและปัญญาที่จะระลึกรู้ได้ตามกำลังด้วย ไม่ใช่เราครับ สภาพธรรมที่ดับหมดไปแล้ว แต่ไม่รู้ ก็แล้วกันไปเพราะกลับไปให้รู้ไม่ได้ ถ้ายังมีปัจจัยให้หลงลืมสติ ก็ต้องหลงลืมสติ แต่สภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้เกิดแล้ว มีอยู่ ปรากฏอยู่ เป็นสิ่งที่สติควรจะได้ระลึก และ ปัญญาควรจะได้ศึกษา พิจารณา เพื่อให้เห็นตามความเป็นจริงว่าลักษณะที่ปรากฏนี้ ไม่ใช่เพียงชื่อ และไม่ใช่ตัวตนอย่างไร มากกว่าครับ
ต้องไม่ลืมว่าพระอภิธรรมคือปัญญาชั้นเลิศของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมมที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึก …............
ยอมรับเลยว่าไม่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ในสิ่งที่พระพุทธ-เจ้าตรัสรู้ภายในระยะเวลาสั้นๆ หรือในชาตินี้ (สำหรับบางคนที่ไม่ได้เกิดด้วยเหตุ 3) ต้องอาศัยการอบรมเจริญอินทรีย์ทั้ง 5 อันได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ (ต้องไม่ใช่สมาธิแบบมิจฉาทิฐฐิ) และปัญญา
หากศึกษาไปมากๆ ก็ต้องอาศัยมรรค 5 องค์ อันได้แก่ ...
สัมมาวายามะ
สัมมาทิฐฐิ
สัมมาสังกัปป
สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ
ส่วนมรรคอีก 3 องค์คือ สัมมาวาจา สัมมากัมตตะ สัมมาอาชีวะ
ต้องรอให้ประกอบเข้าด้วยกันในวิปัสสนาญาณขั้นสูง
หากคุณได้ทำการศึกษา พระอภิธรรมให้เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ละเอียด
คุณจะพบว่าที่ว่าเป็นตัวเรานั้น มันไม่มีอะไรเป็นของเราเลย แม้แต่สัตว์ สิ่งของ บุคคลตัวตน ก็ไม่มี มีเพียงแต่จิต เจตสิต รูป เกิดดับ เกิดดับ ในแต่ละอารมณ์ ทีได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือในแต่ละขณะจิต
ขออนุโมทนาสำหรับทุกท่านที่ได้ศึกษาพระปัญญาของพระพุทธเจ้าอันจะเป็นอุปปนิส-สยปัจจัยให้แจ้งถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะนำไปถึงพระนิพพาน…………………
ต้องไม่ลืมว่าพระอภิธรรมคือปัญญาชั้นเลิศของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่ลึกซึ้ง ลุ่มลึก…...........ยอมรับเลยว่าไม่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ภายในระยะเวลาสั้นๆ หรือในชาตินี้
ขออนุโมทนาค่ะคุณ booms
พระปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องควรรู้ตามควรศึกษาตาม แต่เป็นไปได้โดยช้า ครั้งแรกที่ทักท้วง เพราะสะดุดคำว่าต้องรู้ว่าเป็น โลภะจิตดวงไหน ใน 8 ดวง มีสัมปยุต กับเจตสิตตัวใด กลุ่มใดบ้าง อย่างนี้เป็นการ แทงตลอดสัมปยุตธรรม เพราะมิใช่ของง่ายที่จะรู้ได้ขนาดนั้น ขณะจิตแต่ละขณะรวดเร็วมาก
ยินดีที่ได้อ่านความคิดเห็นของคุณ ขออนุโมทนาค่ะ