สติปัฏฐาน...การสั่งสมสันดานฝ่ายกุศล

 
พุทธรักษา
วันที่  19 ก.พ. 2552
หมายเลข  11297
อ่าน  998

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านอาจารย์ มีท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง กล่าวว่า ท่านเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานอย่าลืมนะคะ ท่านกล่าวว่า "เป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐาน" ท่านกล่าวว่า วันๆ หนึ่งสติปัฏฐานเกิดน้อย ซึ่งนี่ก็เป็นความจริง แต่ ท่านผู้นั้นกล่าวว่าจะเสียหายอะไร ถ้าจะท่านผู้นั้นจะไปเจริญสมถภาวนา น่าคิดไหมคะ

ท่านผู้ฟัง น่าคิดครับ มองดูแล้วก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร เพราะว่า สมถภาวนา ก็เป็นกุศลขั้นสูง

ท่านอาจารย์ ค่ะ .แต่ขอให้คิดถึง ชวนวิถีจิต ชวนจิต ส้องเสพอารมณ์มามากเท่าไรไม่ว่าจะเป็น โลภะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ อิสสา มัจฉริยะ ฯลฯ การที่จะดับอกุศลเหล่านี้ได้ทั้งหมดนั้นด้วยสมถะ หรือว่า ด้วยปัญญา

ในเมื่อวันหนึ่งๆ สติปัฏฐานไม่ได้เกิดก็เลยคิดว่า จะไปทำสมถะใช้คำว่าจะไปทำ หรือ เจริญสมถะ จะเสียหายอะไร แต่อย่าลืม ว่า ที่สติปัฏฐานไม่เกิด เพราะว่าขาดเหตุปัจจัย ที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม เวลาที่ต้องการที่จะเจริญสมถะนั้น ผิดหรือถูก ท่านไม่พูดถึงท่านพูดว่า สมมติว่า ถูกแล้วกัน

แต่ว่าจริงๆ แล้ว ที่จะให้ถูกนี่ ท่านผู้ฟังก็ควรพิจารณาว่าสภาพของจิตที่สงบ ต้องปราศจากโลภะ โทสะ โมหะ จิตต้องประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ที่จะรู้ลักษณะของจิต ในขณะนี้ว่า เป็นกุศล หรือ อกุศล แล้วจึงจะสงบขึ้นได้ และอย่าลืมว่า การอบรมเจริญสมถภาวนานั้นไม่ใช่เรื่องวันเดียว สองวัน หรือหนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือตลอดชีวิต ก็อาจจะยังไม่สามารถที่จะบรรลุ ถึง อุปจารสมาธิ หรือ อัปปนาสมาธิได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ต้องอาศัยการอบรมที่นานมาก ซึ่งสติปัฏฐาน ก็ต้องอาศัยการอบรมที่นานมาก

แต่เพราะเหตุใด จึงไม่คิดถึงประโยชน์ของการอบรมเจริญสติปัฏฐาน เมื่อรู้ว่าสติปัฏฐานเกิดน้อย แต่ต้องการที่จะไปเจริญสมถะ เมื่อซักไซร้ไล่เลียง ท่านก็บอกว่า เมื่อสงบแล้ว สติปัฏฐานจะได้เกิด นี้เป็นความหวังที่เลื่อนลอย

ทำไมถึงคิดว่าสติปัฏฐานจะเกิด เวลาที่สงบแล้วในเมื่อไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติ ในชีวิตประจำวันสติก็ไม่มีกำลัง พอที่จะระลึกได้ในขณะนั้นว่า ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล

แล้วเวลาที่ต้องการที่จะสงบ แล้วก็รู้ว่าต้องอบรมนานและระหว่างที่อบรมที่จะสงบ ขณะนั้น สติปัฏฐานไม่ได้เกิดเลย แต่หากมีวิริยะ แทนที่จะเป็นวิริยะให้สงบ ควรให้เป็นวิริยะ ที่จะศึกษาพร้อมสติที่ระลึกรู้ลักษณะที่กำลังปรากฏของสภาพธรรม ตามปกติ ตามความเป็นจริง

อย่างนี้ สติปัฏฐานก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นจนกว่าจะมีกำลัง และเมื่อมีกำลังแล้วไม่ว่าจะเป็นความสงบขั้นใดสติปัฏฐาน ก็สามารถที่จะเกิดระลึกรู้ ว่า ขณะนั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะว่าการอบรมเจริญปัญญา เป็นเรื่องละ และข้อแรก จะต้องละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน การอบรมเจริญสติปัฏฐาน (วิปัสสนาภาวนา) คือ การระลึก ศึกษาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นการสั่งสมสันดานที่ ชวนวิถีจิต ซึ่งเป็นเหตุปัจจัย ให้สามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท

ส่วนความสงบ (สมถภาวนา) ไม่ว่าจะเป็นขั้นอุปจารสมาธิ หรือ อัปปนาสมาธิ ขั้นรูปฌาณต่างๆ ถึงขั้นอรูปฌาณ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ว่าขณะนั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน อย่าลืม การส้องเสพ ทีละเล็ก ทีละน้อย แทนที่จะอบรมเจริญสติ ที่ชวนวิถีจิต ซึ่งเป็นสติปัฏฐาน ก็ไปพยายามที่จะสงบ

แทนที่กุศลจิตจะเกิด เพราะอาศัยการฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดเพื่อที่จะเกื้อกูลให้สติเกิด แล้วระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล หรือว่า (ทรงแสดง) เพื่อให้ไปทำความสงบ

ที่พระธรรม เป็นประโยชน์ ต่อพุทธบริษัทนั้นก็เพราะว่า ขณะที่ท่านผู้ฟังกำลังฟัง แล้วเข้าใจขณะนั้น ชวนวิถีจิต กำลังสั่งสมสันดาน ที่เป็นฝ่ายกุศล เพื่อที่จะเป็นปัจจัย ปรุงแต่งให้สติปัฏฐานเกิดแล้วระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ที่กำลังปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจแล้วปัญญา ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อยขณะที่มีการระลึกรู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏขณะนั้น เป็นการสั่งสมสันดานฝ่ายกุศล ที่ชวนวิถีจิต

แนวทางเจริญวิปัสสนาโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดยคุณย่าสงวน สุจริตกุล

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 20 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
สุภาพร
วันที่ 20 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ ที่ทำให้ชวนวิถีจิตสั่งสมสันดานฝ่ายกุศลเพิ่มขึ้นอีก

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 20 ก.พ. 2552

ที่พระธรรม เป็นประโยชน์ ต่อพุทธบริษัทนั้นก็เพราะว่า ขณะที่ท่านผู้ฟังกำลังฟัง แล้วเข้าใจขณะนั้น ชวนวิถีจิต กำลังสั่งสมสันดาน ที่เป็นฝ่ายกุศล เพื่อที่จะเป็นปัจจัย ปรุงแต่งให้สติปัฏฐานเกิด แล้วระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
hadezz
วันที่ 20 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
samerming@home
วันที่ 22 ก.พ. 2552

ผมเป็นคนที่สนใจศึกษาธรรม โดยส่วนหนึ่ง ได้ติดตามคำสอนของท่านอาจารย์สุจินต์ มานานแล้ว เมื่อมาสมัครเป็นสมาชิกของที่นี่ มาเห็นข้อความแสดงความเห็นของท่านต่างๆ (ด้วยความเคารพ) ผมเกิดความสับสนว่า แล้วจะจำนำไปใช้เลยได้หรือยัง ผมอยากฟังความเห็นของท่านอาจารย์สุจินต์ ครับ เพราะมีความรู้สึกว่าน่าจะนำไปเป็นประโยชน์โดยสนิทใจ (เช่นความเห็นนี้)

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 22 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
พุทธรักษา
วันที่ 22 ก.พ. 2552

เป็นเรื่องธรรมดา ที่เราจะยังไม่มีความสนิทใจกับสิ่งใดก็ตามที่เราจะศรัทธาได้อย่างแท้จริง อย่างไม่มีเงื่อนไขจนกว่าเมื่อใดที่ปัญญา แม้ขั้นฟัง ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า
ธรรมอย่างนี้ มีจริงๆ

และผู้ใดก็ตาม ที่แสดงธรรมของพระองค์ได้อย่างนี้ ก็มีท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ รวมอยู่ด้วยท่านหนึ่ง.ปัญญาของเรา เปรียบเสมือนเศษฝุ่นในจักรวาลที่กว้างใหญ่จนหาประมาณมิได้จะกล่าวไปใยถึงพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น และ ธรรมอย่างนี้ ก็มิใช่จะประจักษ์กันได้ง่ายๆ การสั่งสมบารมีกันต่อไป โดยอาศัยปัญญาของกัลยาณมิตรเป็นปัจจัยหนึ่งที่ขาดไม่ได้ พระอริยสาวกทั้งหลาย ท่านสะสมบารมีมาพอเพียงแล้วจนเป็นปัจจัยให้บรรลุธรรมได้ในชาติที่ได้เกิดมาพบและฟังธรรมจากพระผู้มีพระภาค ฉันใดการรักษาศรัทธาให้มั่นคง เพื่อเป็นปัจจัยในการสะสมบารมีกันต่อไปก็เพื่อเจริญรอยตามท่านเหล่านั้น ฉันนั้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านที่เห็นคุณค่าของพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pamali
วันที่ 21 มิ.ย. 2553

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ