นักศึกษาแพทย์กับปาณาติบาต

 
พุทธรักษา
วันที่  20 ก.พ. 2552
หมายเลข  11301
อ่าน  1,417

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านผู้ฟัง อันนี้ เป็นปัญหาสำหรับนักศึกษาแพทย์ คือคำถามว่าการปฏิบัติทดลองทางวิทยาศาสตร์ บางอย่างที่ต้องทำให้สูญเสียชีวิตสัตว์ เพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งความสำเร็จจะไม่เป็นการขัดต่อปาณาติบาตในศีล ๕ หรือ

ท่านอาจารย์ เมื่อยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม หรือตอนที่ยังเป็นเด็กอยู่คงไม่มีใครเลย ที่จะไม่เคยฆ่าสัตว์เมื่อมีโมหะ ความไม่รู้ ก็เป็นปัจจัยให้เกิดโลภะบ้าง โทสะบ้าง เป็นธรรมดาผู้ที่เป็นนักศึกษาแพทย์ อาจจะคิดว่า เพราะอยากเป็นแพทย์หรือเพราะเห็นว่า เป็นวิชาที่สามารถทำประโยชน์ได้มากทีเดียว

แต่ความจริงแล้ว การที่แต่ละบุคคล จะประกอบอาชีพอะไรนั้น ก็เพราะสั่งสมปัจจัยมาแล้ว ที่จะเป็นอย่างนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เกิดขึ้น เป็นไปต่างๆ ตามเหตุตามปัจจัยใครมีความโน้มเอียง หรือ มีความสามารถในทางศิลปะ เช่น การวาดรูป หรือ การดนตรี ฯลฯ ...หรือในเรื่องอื่นใดนั้น ก็เป็นเพราะเหตุปัจจัยที่แต่ละคนได้สะสมมา โดยเฉพาะ เมื่อต่างก็เกิดมา สะสมเหตุปัจจัยมาต่างกันก็ย่อมมีฉันทะ ในการศึกษาวิชาการต่างๆ กัน ประกอบอาชีพต่างๆ กัน

บางอาชีพ ก็เป็นสัมมาชีพ และบางอาชีพ ก็เป็นมิจฉาชีพ.ไม่มีใครที่อยากจะทำไม่ดี...แต่เมื่อยังไม่ได้ดับเหตุที่จะทำให้ล่วงศีล ก็ย่อมล่วงศีลบ้างในบางครั้ง เพราะว่า ผู้ที่จะรักษาศีล ๕ ได้สมบูรณ์จริงๆ นั้นต้องเป็นพระอริยบุคคล ขั้นพระโสดาบันขึ้นไป

แต่ที่กล่าวมาแล้วนั้น ไม่ใช่จะสนับสนุนให้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตกันมากๆ แต่เพื่อให้รู้ความจริงว่า ผู้ที่ละทุจริตกรรมและรักษาศีล ๕ ได้สมบูรณ์นั้นต้องเป็นพระอริยบุคคลแล้ว แต่ถึงแม้ว่ายังไม่ใช่พระโสดาบันบุคคลก็มีหลายท่าน ทั้งในอดีตกาล และในปัจจุบันนี้ และต่อไปในอนาคตด้วย ที่มีศรัทธา และ มีเจตนาวิรัติทุจริต ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายไม่ทำอันตรายต่อชีวิตของสัตว์อื่น ตามปัจจัยที่ได้สะสมมา

ฉะนั้น จึงมีบุคคลที่ละอาคารบ้านเรือน เป็นบรรพชิต แม้ว่ายังไม่ได้บรรลุอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคลแต่ก็มีเจตนาที่จะขัดเกลากิเลส และรักษาศีลได้มากกว่าเพียง ๕ ข้อ การที่แต่ละบุคคล มีอัธยาศัย มีความโน้มเอียงในการที่จะกระทำสิ่งใด ก็ย่อมทำไป ตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาและย่อมมีการล่วงศีลบ้างในบางครั้ง ตราบที่ยังไม่ใช่พระอริยบุคคล

แต่ว่า ผู้ที่เป็นนักศึกษาแพทย์ก็คงจะฆ่าสัตว์ เพื่อประโยชน์ ไม่เหมือนพวกมิจฉาชีพ ที่ทำอันตรายทั้งกับคนและสัตว์ โดยที่ไม่ได้เป็นประโยชน์กับบุคคลอื่นๆ เลย เพราะฉะนั้น ก็เป็นการกระทำที่จำเป็น เพื่อประโยชน์เมื่อยังไม่ใช่พระอริยบุคคล และสะสมมาในทางที่จะศึกษาวิชานี้ก็ประพฤติ ปฏิบัติในทางการศึกษา (อย่างนี้) แต่ต้องทราบว่าขณะที่ฆ่าสัตว์นั้น เป็นปาณาติบาต เป็นอกุศลกรรมไม่ว่าใครกระทำ จะเป็นพระมหากษัตริย์ นักศึกษาแพทย์ โจร หรือ บรรพชิต ฯลฯ ก็เป็นอกุศลกรรม (เหมือนกัน)

แต่ในการฆ่าสัตว์ เพื่อการศึกษาทางแพทย์นั้นก็ควรทราบว่า ได้ทำอกุศลกรรมด้วยความจำเป็นเพื่อประโยชน์ในด้านการศึกษา ฉะนั้น จึงควรเจริญกุศลทุกทาง และมากๆ ด้วยอย่าละเลยการเจริญกุศล.

พวกชาวประมงก็มีปัญหาเหมือนกัน ในเรื่องอาชีพแต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นชาวประมง คนที่สะสมเหตุปัจจัยมาซึ่งเป็นเหตุ ที่ทำให้ต้องเกิดมาอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้นหรือมีเชื้อสายวงศ์ตระกูล ที่ได้ประกอบอาชีพอย่างนั้นมาก็เป็นเหตุ ให้มีความโน้มเอียงที่จะมีอาชีพอย่างนั้น แต่บางท่านก็เลิก บางท่านก็ไม่เลิก บางท่านก็สะสมเหตุปัจจัยใหม่ โดยการเจริญกุศลมากขึ้นเมื่อเจริญกุศลมากขึ้นเรื่อยๆ และอบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสไปเรื่อยๆ จนรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอริยบุคคล ก็พ้นจากกรรมที่ได้กระทำไว้คือ กรรมที่เป็นเหตุให้เกิดในอบายภูมิ

เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นนักศึกษาแพทย์และได้เคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ควรเจริญกุศลทุกประการ ให้มากๆ โดยเฉพาะ ควรเจริญกุศลที่จะทำให้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมบรรลุเป็นพระอริยบุคคลซึ่งจะเป็นเหตุให้ไม่ต้องไปเกิดในอบายภูมิอีกเลยเพราะถ้าไม่ใช่พระอริยบุคคล อกุศลกรรมที่กระทำแล้วนั้น ก็เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดในอบายภูมิได้

จากหนังสือ "ตอบปัญหาธรรม" โดยอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 21 ก.พ. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 22 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
pornpaon
วันที่ 24 ก.พ. 2552

กราบขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ละเอียดลึกซึ้งและตรงมากๆ

กุศล คือ กุศล

อกุศล คือ อกุศล

สภาพธรรมเช่นไร ย่อมมีลักษณะเฉพาะเป็นของตนอย่างนั้น ไม่มีทางเปลี่ยนผันแปรไปเป็นอย่างอื่นได้ แต่ทุกอย่าง ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่ได้สะสมมาแล้ว เหตุปัจจัยใหม่ที่สะสม หากไม่พลั้งเผลอผิดพลาด ก็ควรเป็นเหตุปัจจัย ที่จะทำให้พ้นไปจากการเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์ได้ ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น

ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
BENHUR
วันที่ 24 ก.พ. 2552

ถ้าอย่างงั้น ก็คงไม่มีใครที่จะอยากเป็นแพทย์ซิครับ เพราะต่อให้ฆ่าเพื่อศึกษาก็ถือเป็นอกุศลกรรม ผมว่าคงยากนะที่ใครซักคนจะขัดเกลาจิตใจจนบรรลุเป็นพระอริยะบุคคลได้ ยิ่งแพทย์ ยิ่งไม่ค่อยจะมีเวลา ผมเข้าใจอะไรผิดไปบ้างรึเปล่าครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
paderm
วันที่ 24 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

สภาพธรรมเป็นไปตามเหตุปัจจัย จะรุ้ว่าเป็นอกุศลกรรมหรือไม่รู้ว่าเป็นอกุศลกรรมก็ตามที่ฆ่าสัตว์ก็ยังมีเหตุปัจจัยให้บางบุคคลเป็นแพทย์และก็มีการทดลองเช่นนั้น ซึ่งการอบรมปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลสคือการรู้ความจริงในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าเป็นกุศลหรืออกุศลที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา การอบรมปัญญาจึงสามารถอบรมได้ทุกอาชีพ แต่ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระโสดาบันก็ยังมีโอกาสล่วงอกุศลกรรมได้ ไม่ว่าอาชีพใด หรือ บุคคลใดก็ตาม แต่การอบรมปัญญาไม่เลือกอาชีพเพราะรู้ความจริงที่มีในชีวิตประจำวัน ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
BENHUR
วันที่ 25 ก.พ. 2552

...เป็นธรรม ไม่ใช่เรา...

ธรรมคืออะไร

แล้ว เราคืออะไร

ขอความกรุณาอธิบายให้เข้าใจกว่านี้ด้วยครับ (คือผมยังเด็กเลย ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องธรรมะเท่าไหร่ครับ ต้องขออภัยจริงๆ)

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
prachern.s
วันที่ 25 ก.พ. 2552

ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ได้แก่ จิต เจตสิก รูป นิพพาน

คำว่า เราเป็นสิ่งสมมติขึ้น จริงๆ แล้วเราไม่มี มีแต่ธรรมะ

แต่ความเห็นผิดยึดถือว่า ธรรมะเป็นเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
BENHUR
วันที่ 26 ก.พ. 2552

แล้วใครเป็นคนกำหนดว่าธรรมมีจริง เราไม่มีจริง เป็นแค่สิ่งสมมติ เอาอะไรเป็นตัวแบ่งแยกคำสองคำนี้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
พุทธรักษา
วันที่ 26 ก.พ. 2552
อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11301 ความคิดเห็นที่ 8 โดย BENHUR

แล้วใครเป็นคนกำหนดว่าธรรมมีจริง เราไม่มีจริง เป็นแค่สิ่งสมมติ เอาอะไรเป็นตัวแบ่งแยกคำสองคำนี้ครับ


ไม่มีใครกำหนดทั้งนั้น มีแต่พระปัญญาธิคุณของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ที่ทรงตรัสรู้แล้วทรงพระมหากรุณาคุณ นำมาแสดง ให้พุทธบริษัทได้ฟังตลอด ๔๕ พรรษาที่พระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ แม้วาระสุดท้ายก่อนที่จะสด็จดับขันธปรินิพพาน.เพื่อประโยชน์ของใคร เพื่อพุทธบริษัทได้รู้ตาม ได้พ้นทุกข์ตามเมื่อฟังเข้าใจ แล้วน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตาม.ธรรมอย่างนี้ มีจริงอย่างนี้ผู้ที่จะแสดงได้อย่างนี้ ต้องด้วยการตรัสรู้เท่านั้นจึงเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ตามความเป็นจริง และทรงแสดงธรรม ตามความเป็นจริงเพราะแม้พระองค์เอง ก็ทรงเคารพธรรม สิ่งที่แบ่งคำสองคำนี้ธรรมะ กับ สิ่งสมมติคือ สัจจธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
พุทธรักษา
วันที่ 26 ก.พ. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 11301 ความคิดเห็นที่ 4 โดย BENHUR

ถ้าอย่างงั้นก็คงไม่มีใครที่จะอยากเป็นแพทย์ซิครับ เพราะต่อให้ฆ่าเพื่อศึกษาก็ถือเป็นอกุศลกรรม ผมว่าคงยากนะที่ใครซักคนจะขัดเกลาจิตใจจนบรรลุเป็นพระอริยะบุคคลได้ยิ่งแพทย์ ยิ่งไม่ค่อยจะมีเวลา ผมเข้าใจอะไรผิดไปบ้างรึเปล่าครับ


บางคนอยากเป็นแพทย์ ก็ไม่ได้เป็นบางคนไม่อยากเป็นแพทย์ ก็ได้เป็นเหมือนกับจะเลือกได้ แต่ความเป็นจริงนั้นมีเหตุปัจจัยมากมายที่เป็นปัจจัยให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นไป....ตามการสะสมของบุคคลนั้น

ขอยกตัวอย่าง จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ เพื่อนรุ่นพี่ของข้าพเจ้าคนหนึ่ง เรียนเก่งมาก กำลังจะเข้าเรียนแพทย์ แต่เมื่อรู้ว่า จะต้องมีการผ่ากบ ในวิชาบังคับ ท่านก็เปลี่ยนใจ ไม่เรียนไปเรียนวิชาสถาปัตย์ เพราะท่านเป็นคนรักสัตว์มาก แม้จะเป็นกบ ท่านก็ไม่สามารถลงมีดได้ อีกท่านหนึ่ง ท่านเป็นแพทย์ และเคยผ่ากบมาแล้ว ท่านก็รู้ว่าจะต้องทำการฆ่าสัตว์ในการศึกษาบางวิชาแต่ท่านก็กล่าวว่า "ก็รู้นะ ว่า บาป แต่ถ้าทำให้สามารถช่วยชีวิตมนุษย์ได้อีกมาก บาปก็บาป"

การสะสมของจิตนั้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครสะสมมาอย่างไร ก็ต้องเป็นไปอย่างนั้นในโลกนี้ มีใครที่คิดเหมือนกันทุกอย่างบ้าง

ส่วนคุณ ก็ต้องสะสมบุญมาแล้ว จึงมีความสนใจใคร่รู้แต่ก็ประมาทไม่ได้ เพราะตราบใด ที่ยังไม่ใช่พระโสดาบันก็ยังมีโอกาสทีอกุศลกรรม (ที่เคยสะสมมา) จะนำไปในทางที่ไม่ควรไป (รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเองด้วย) เพราะไม่มีใคร ประกันศรัทธาของใครได้ สำคัญที่ว่า เมื่อเป็นพุทธศาสนิกชน และได้มีโอกาสฟังพระธรรม ที่ถูกต้องเมื่อฟังแล้วพิจารณา ก็ต้องพิจารณา สาระไม่ใช่เชื่อตามๆ ไปโดยไม่รู้ว่าสาระ คืออะไร

เพราะพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเพื่อผู้ฟังได้พิจารณา จนกว่าจะเป็นปัญญาของตนเอง ไม่ได้ทรงบังคับหรือ สั่งให้ใครมาเชื่อตาม โดยไม่รู้ไม่เข้าใจ และท่านอาจารย์สุจินต์ท่านก็กล่าวธรรม ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงโดยไม่ได้กล่าวจากความคิดเห็นส่วนตัว ท่านอ้างอิงพระธรรมวินัย ที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกพระไตรปิฎก ที่พวกเราอ่านเอง อาจจะเข้าใจผิด หรือ คลาดเคลื่อนจากความป็นจริงได้

และที่ท่านอาจารย์กล่าวธรรมคือ แสดงธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ และทรงแสดงไว้ก็ด้วยความเคารพในพระรัตนตรัย เคารพในธรรม เคารพในพระปัญญาธิคุณ ของพระพุทธองค์ อย่างจริงใจท่านไม่ได้กล่าวว่าให้เชื่อ แต่กล่าวว่าให้คิดให้พิจารณาในสิ่งที่ได้ฟัง ให้ละเอียดถ้าติดขัด สงสัย ก็ให้สนทนาธรรมกัน หรือ สอบทานเทียบเคียงกับพระไตรปิฎกเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่แท้จริง

เป็นโอกาสที่หาได้ยากในการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์มีโอกาสศึกษาพระธรรม เพื่อรู้ธรรม ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงและมีโอกาสเจริญกุศลทุกประการ เท่าที่จะทำได้ตามวิสัยของการป็นมนุษย์สะสมกรรมดีอันเป็นปัจจัยที่ดี ก็เหมือนสะสมเสบียงเดินทางไกลอันเป็นสิ่งที่ติดตามไปได้ แม้เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้ว

สัตว์โลกมี ๒ ทางเลือก

ขอความเจริญในกุศลธรรม อันเกิดจากความเข้าใจพระธรรมจงเกิดแก่คุณ ตามเหตุตามปัจจัย ที่ได้สะสมมาค่ะ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
BENHUR
วันที่ 26 ก.พ. 2552

อ่ออออออออ

พอจะเข้าใจแล้วล่ะครับ

ขอขอบพระคุณทุกท่านๆ ที่ได้เข้ามาช่วยแก้ไขข้อสงสัยให้ผมด้วยนะครับ

^^

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
somlukar
วันที่ 27 ก.พ. 2552

ครุกรรม อาจิณกรรม อาสันนกรรม กกัตตากรรม อาชีพแพทย์พยาบาลเกี่ยวข้องกับอริยสัจ ๔ ไตรลักษณ์ตลอดเวลา สามารถเจริญกุศลจิตให้เกิดได้ทุกขณะที่ระลึกเกิดสติ การช่วยเหลือผู้ป่วยด้วยกุศลจิตที่กระทำอยู่เนืองๆ จนเป็นอาจิณณกรรม เป็นกุศลท่ให้ผลยั่งยืนอย่างมาก

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
saifon.p
วันที่ 28 ก.พ. 2552

เรื่องแล้วแล้วไป คิดไปไม่มีประโยชน์ ควรอบรมเจริญปัญญาค่อยๆ เข้าใจธรรม ที่เป็นปัจจัยปรุงแต่งให้งดเว้นอกุศลกรรมทั้งหลายดีกว่าค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
คุณ
วันที่ 3 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ