ถนนชีวิต.........

 
oom
วันที่  21 ก.พ. 2552
หมายเลข  11309
อ่าน  4,071

ชีวิตคนเราถ้าเปรียบได้ก็เหมือนกับถนน เมื่อทุกคนเกิดมาลืมตาดูโลก ก็เริ่มต้นของการ

เดินทาง ทุกคนมีเป้าหมายในชีวิต คือความสุข โดยที่พยายามจะเดินไปให้ถึงที่หมาย

ซึ่งแท้จริงแล้วถนนเส้นนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่เรายังไม่หลุดพ้นจากอาสวกิเลสทั้ง

หลาย เราคงต้องเดินอยู่บนถนนเส้นนี้อีกยาวนาน แต่ก็นับว่าดิฉันยังโชคดีที่ได้มา

ศึกษาธรรมะทำให้พอมีหวังว่าสักวัน ถนนชีวิตของดิฉันคงจะสิ้นสุดลงได้


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
orawan.c
วันที่ 22 ก.พ. 2552
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 22 ก.พ. 2552

การได้ฟังพระสัทธรรม หาได้ยาก

การอุบัติขึ้นแห่งพระสัมพุทธเจ้า หาได้ยาก

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
paderm
วันที่ 22 ก.พ. 2552

เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ...ก้าวเล็กๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
arin
วันที่ 22 ก.พ. 2552

ขออนุโมทนาครับพี่ orawan.c

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
choonj
วันที่ 22 ก.พ. 2552

เป้าหมายในชีวิตไม่ใช่ความสุข เป้าหมายในชีวิตคือการไม่เกิดอีก สองฝั่งถนนมี

สิ่งสวยงามคือความสุขและไม่สวยงามคือความทุกข์ แล้วเราก็ได้พบธรรมแสดงถึงเหตุ

และปัจจัยที่ให้ความสุขและความทุกข์ จึงต้องวางแผนการเดินทางบนถนนเส้นนี้ให้ดีๆ

การเดินทางจึงจะไม่ลำบาก คือเดินอย่างฉลาดโดยสติปัฎฐานไง ถ้าเริ่มเดียวนี้สักวัน

ถนนชีวิตก็จะสิ้นสุดได้ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 23 ก.พ. 2552

อ้างอิงความเห็นที่ 5

คงไม่ลืมว่าทุกอย่างเป็นธรรมะและเป็นอนัตตา คือบังคับบัญชาไม่ได้ เกิดดับตาม

เหตุปัจจัย จึงไม่มีตัวตนที่จะทำและวางแผน มีแต่การอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ความ

จริงเท่านั้นจนถึงขั้นสูงสุด คือพระอรหันต์ จึงออกจากสังสารวัฏฏ์ได้

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
choonj
วันที่ 23 ก.พ. 2552

ต่อจากความเห็นที่ ๖

ฉันทเจตสิกเป็นเจตสิกที่พอใจในอารมณ์ พอใจที่จะศึกษาธรรมขัดกิเลส พอใจที่จะเจริณสติปัฎฐานสี่ เมื่อมีความพอใจก็มีลักษณะใกล้เคียงกับการวางแผน แต่ต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ตัวตนที่ไปวางแผน เมื่อพอใจที่จะศึกษาจนสังขารขันธ์มีกำลัง ธรรมะที่เป็นอนัตตา เมื่อปรากฎสติก็สามารถระลึกได้ เป็นการเจริญสติปัฎฐาน ใหม่ๆ การเดินทางก็ต้องเริ่มด้วยศรัทธาและฉันทะ แต่ที่สำคัญอย่าแวะข้างถนนติดสุขจนทำให้การเดินทางล่าช้า ถ้าแวะติตทุกข์ก็แย่หน่อย ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
oom
วันที่ 23 ก.พ. 2552
สมัยที่ยังไม่ได้ศึกษาธรรมะ ก็คิดว่าชีวิตนี้ มีงานทำ มีเงิน มีเพื่อนมีหน้าที่การงานที่ดี ก็น่าจะมีความสุข แต่ก็ไม่ใช่อย่างที่คิด ชีวิตก็ยังมีทุข์ จากสาเหตุต่างๆ มากมาย ตอนนั้นยังไม่เข้าใจสภาพธรรมว่า ถ้ายังมีเกิดมีดับ ชีวิตย่อมเป็นทุกข์ อยู่ร่ำไป คงต้องสะสมปัจจัยไปจนกว่าจะข้ามพ้นฝั่งแห่งโอฆะ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
khampan.a
วันที่ 24 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ชีวิตเป็นจิตแต่ละขณะๆ จิต-ทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ ดำเนินไปอย่างนี้ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง และเป็นอย่างนี้มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสะสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล ความดีประการต่างๆ รวมถึงการอบรมเจริญปัญญาซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ด้วย เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการอบรมเจริญปัญญา จนกระทั่งถึงขั้นที่จะดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด แล้ว สังสารวัฏฏ์ก็ไม่มีวันจบสิ้น การเดินทางไกลกล่าวคือสังสารวัฏฏ์ ก็ยังมีอีกต่อไป แต่การที่จะถึงขั้นดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาดนั้น เป็นเรื่องที่ไกลมาก ต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญา ดังนั้น จึงต้องค่อยๆ สะสม อบรมเจริญขึ้นทีละเล็กทีละน้อย เริ่มจากการฟัง การศึกษา ไปตามลำดับ ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
สิริพรรณ
วันที่ 29 ส.ค. 2560

กราบนอบน้อมพระรัตนตรัย

ฟังพระธรรมแล้วค่อยๆ เข้าใจความจริง
จึงรู้ว่า
ทุกวันก่อนจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลในชาตินี้
ถนนที่ควรเดินคือ
ถนนที่นำไปสู่ความเข้าใจความจริงจากการฟังพระธรรม

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณกุศลจิตทุกท่านด้วยความเคารพค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ