เสน่ห์อินเดีย 2 ผิดคาด ... ที่พุทธคยา
ผิดคาด ... ที่พุทธคยา
โดย สาวิกา ศาสตรพงศ์
ไปอินเดียคราวนี้ได้ไปการบินไทยแทนแอร์อินเดีย รู้สึกดีใจที่ได้ใช้บริการของสายการบินแห่งชาติ ซึ่งเป็นที่รู้ว่าราคาค่าตั๋วจะแพงกว่าสายการบินอื่น วาดภาพไว้ก่อนว่า คงจะดีกว่า แต่ก็ผิดคาด และผิดหวังเล็กน้อยเพราะประเดิมด้วยเครื่องดีเลย์เพราะต้อง ซ่อมเบรก ที่วางแผนไว้ว่าจะทานอาหารกลางวันบนเครื่อง ก็ต้องรอด้วยความหิวเพราะ เลยเวลาไปมาก หลังจากเช็คอินเข้าไปนั่งคอยเตรียมขึ้นเครื่องแล้ว บางกลุ่มจะออก ไปทานข้าวข้างนอก เจ้าหน้าที่ก็ไม่อนุญาต เพราะเครื่องอาจจะซ่อมเสร็จเมื่อไรก็ได้ จึงต้องนั่งรอกันต่อไป แต่เพราะคณะประกอบด้วยผู้มีกุศลจิตมากมาย จึงมีผู้นำอาหาร มาแจกให้ผู้หิวโหยทั้งหลายพอประทังความหิวไปได้ ส่วนตัวเราเองอาหารที่นำมาติด ตัวมาด้วยสำหรับการเดินทางไกลก็อยู่ในกระเป๋าใหญ่ ไม่ได้เตรียมไว้สำหรับเครื่องดีเลย์อย่างนี้ จึงต้องอาศัยใบบุญของท่านอื่นตั้งแต่เริ่มเดินทางทีเดียว
เครื่องลงที่สนามบินคยา มองจากเครื่องบินเห็นแม่น้ำเนรัญชราแห้งผากเป็นถนนทรายคดเคี้ยวอยู่เบื้องล่าง ไม่เหมือนกับปีก่อนเลย เพราะคราวนั้นยังเห็นน้ำใสๆ ในแม่ น้ำ กัปตันประกาศว่าอุณหภูมิประมาณ 28 องศา แล้วเสื้อผ้าเครื่องหนาวจะได้ใช้ไหมนี่ ไม่เป็นไร เอาเสื้อบางๆ มาเผื่อไว้หลายตัวเหมือนกัน รู้สึกว่าตัวเองจะวุ่นวายกับเรื่อง เสื้อผ้ามากไปหน่อย ดัชนีบ่งชี้ความหนาแน่นของกิเลสปรากฏชัดเจนเหลือเกิน คงต้อง ขัดเกลาอีกหลายอสงไขยกัปป์ทีเดียว (หรือจะน้อยไป)
เมื่อถึงโรงแรมนิกโก้โลตัสที่เลือกมาอยู่เอง เพราะอยู่ใกล้พระศรีมหาโพธิ์ เดินไป เองได้ โดยไม่ต้องรอรถของบริษัททัวร์ เมื่อเห็นครั้งแรกไม่ผิดหวัง บริเวณโรงแรมกว้าง ขวางกว่าโรงแรม Royal Residency มาก มีดอกรักเร่ปลูกเป็นกลุ่มสวยงาม มีสวน กุหลาบอยู่บนเนินข้างหน้า นึกในใจว่าจะมาเดินเล่นตอนเช้ากับตอนกลางคืน เราได้ ห้องอยู่ชั้น 2 นึกว่าไม่เป็นไร แค่ชั้นเดียวเอง ขึ้นบันไดได้ เพราะไม่มีลิฟท์ ที่ไหนได้ ชั้น 2 ของอินเดีย คือ ชั้น 3 ของไทย ได้ห้องสุดท้ายของชั้น เมื่อเข้าไปในห้อง ก็ต้อง ผงะกับกลิ่นอับ เหมือนไม่ได้เปิดใช้มานาน มียุงบินอยู่มากมาย เปิดตู้เสื้อผ้าก็เห็น กางเกงแพรขาดๆ กับหมอนเก่าๆ กองอยู่ เรียกบ๋อยซึ่งยกกระเป๋ามาส่งมาเก็บไป ผิดคาด อีกแล้ว
เมื่อทุกคนเข้าโรงแรมเรียบร้อย พักผ่อนเล็กน้อย ก็เตรียมตัวไปกราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุที่สมาคมมหาโพธิ พวกผู้ชายใส่สูท พวกผู้หญิงก็นุ่งผ้าไทยหรือ แต่งตัวสุภาพสวยงาม ส่วนเราเตรียมแต่งตัวสวยแต่เช้าจากบ้าน (ตามความเข้าใจของตนเอง) เลยไม่ต้องเปลี่ยน เมื่อถึงสมาคมมหาโพธิ เห็นท่านอาจารย์นั่งอยู่บนเวที เตรียมบรรยายธรรม ในชัยยะศรีวิหาร ท่านอาจารย์ชี้แจงว่า พระคุณเจ้าท่านจัดให้นั่ง อย่างนี้ในการสนทนาธรรม เพื่อเจริญกุศลแสดงความเคารพต่อพระบรมสารีริกธาตุ มี พวกเรานั่งคอยฟังอยู่เต็มวิหาร ขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งนำแผ่นทองคำจารึกชื่อมูลนิธิศึกษา และเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปติดไว้ที่ผอบเจดีย์ทั้ง 3 องค์ เพื่อเป็นประวัติศาสตร์ให้ อนุชนรุ่นหลังทราบความเป็นมาของผอบเจดีย์ และอีกกลุ่มหนึ่งได้จัดดอกไม้ที่นำมา จากกรุงเทพ
ท่านอาจารย์แสดงธรรมบนเวที ในระหว่างนั้นไฟฟ้าก็ดับเป็นระยะๆ คุณสุวัฒได้ บอกว่าไฟของรัฐบาลเป็นอย่างนี้เอง ในช่วงพลบค่ำอย่างนี้ยุงบินเต็มไปหมด เป็น ธรรมชาติดีจริงๆ ท่านอาจารย์พูดธรรมได้จับใจเช่นเคย แต่ก็ไม่สามารถจำมาเล่าได้ เสียดายที่ความจำเรื่องธรรมสั้นมาก เรื่องอื่นๆ จำได้หมด โดยเฉพาะเรื่องอกุศล ใคร เขาพูดให้เจ็บใจ ดูถูกดูหมิ่น ผ่านไปหลายปีแล้ว ก็ยังจำได้ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูด แต่เรื่องสำคัญอย่างธรรม จำไม่ค่อยได้ ส่องให้เห็นว่า จริงๆ แล้วไม่คิดว่าธรรมสำคัญ จึง ไม่ให้ความสำคัญเหมือนอย่างที่หวังจะให้เป็น ถึงต้องเกิดแล้วเกิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์ อีก อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เมื่อถึงเวลาอันสมควร ท่านอาจารย์ก็เดินข้ามถนน นำไปที่พระเจดีย์พระศรีมหาโพธิ์ เพื่อเวียนเทียน วันพรุ่งนี้จะมีพิธีถือศีล ๕ ของชาวเกาหลี (Ceremony of Observing 5 Precepts by Korea) มีธงติดทั่วไปหมด ผู้คนก็เนืองแน่นทั่วบริเวณทางเข้าพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อเดินเข้าไปได้ยินเสียงสวดมนต์ภาษาบาลีสำเนียงไทย สำเนียงศรีลังกา สำเนียงจีน ผิดคาดอีกเช่นเคย เพราะคราวก่อนเงียบสงบประทับใจมาก ก็เวลา ผ่านไปตั้งปีกว่า จะให้เหมือนเดิมได้อย่างไร แม้แต่ขณะเดียวที่ผ่านไปก็ไม่เหมือนกับ ขณะต่อไปแล้ว แต่ละขณะจะไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ฎ์ แล้วจะให้เหมือนเดิมได้ อย่างไร จำไม่ได้อีกแล้วหรือ ฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็ยังจำไม่ได้อยู่นั่นเอง ก็เพราะยังไม่ ประจักษ์นั่นเอง เป็นเพียงสัญญาความจำ ยังไม่ใช่ปัญญา ความเข้าใจลักษณะของ สภาพธรรมที่ปรากฏ จึงสมหวังผิดหวังเพราะตั้งความหวังอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
เราดีใจมากที่ได้ต่อเทียนจากท่านอาจารย์ นึกอธิษฐานในใจว่า ขอให้มีความเข้าใจธรรมอย่างที่ท่านอาจารย์เข้าใจด้วยเถิด (ขออีกแล้ว) เมื่อเริ่มต้นเดินเวียนเทียน มีชาว ศรีลังกาเดินสวนทางออกมาเป็นแถวทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผู้ชายที่เดินนำหน้า เอามือมาจับ ประทีปโคมไฟที่เรานำมาจากเมืองไทย พร้อมกับพูดคำอะไรที่ฟังไม่ทัน คิดในใจว่า นี่ จะดึงไปจากมือเลยหรือ ตกใจจนยืนนิ่ง ที่คิดว่าจะดึงมือกลับมา ก็ไม่ได้ทำ ซึ่งก็โชคดี มากที่ไม่ทำกิริยาอย่างนั้น เพราะผู้หญิงคนถัดมาก็เอามือมาจับ แล้วพูดว่า “สาธุการ” อ้อ นึกออกแล้ว ที่ศรีลังกา เมื่อเขาจะอนุโมทนา ก็พูดว่า “สาธุการ สาธุการ” ดูซิ ประสบการณ์ชีวิตที่ต่างกัน ทำให้ความคิดนึกต่างกัน เราคิดว่า เขาเห็นโคมไฟสวย จะ มาแย่งเอาจากมือ แต่เขาคิดว่า อนุโมทนาที่นำโคมสวยมาเวียนเทียนบูชาพระรัตนตรัย ดูซิ ความคิดของเรากับของเขาสวนทางกันเหมือนกิริยาที่เดินเข้า และเดินออกจาก พระมหาเจดีย์เลย กว่าความคิดจะตรงกันก็ใช้เวลาอยู่หลายวินาทีเหมือนกัน เมื่อความ คิดตรงกัน ทั้งเราทั้งเขาก็เกิดกุศลจิตร่วมกัน หยุดยืนให้เขาสาธุการจนครบทุกคน เป็นภาพที่สวยงามมาก คนต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา แต่มีศรัทธาในพระศาสดาองค์เดียว กัน ต่างถ่ายทอดกุศลจิตที่ได้แสดงความเคารพนอบน้อมต่อพระพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยกัน
เวียนเทียนเสร็จ ต่างก็กลับโรงแรมไม่ได้สนทนาธรรม ซึ่งดูแล้ว ผู้คนคับคั่งอย่าง นี้ คงจะไม่มีที่ว่างพอที่จะนั่งสนทนาธรรม หลายคนหอบหิ้วข้าวของพะรุงพะรัง เพราะ ต้องหอบประทีปโคมไฟกลับ และหลายคนวิ่งกลับไปเอาเสื้อหนาวมาเตรียมไว้ เนื่อง จากผู้มีประสบการณ์จากปีที่แล้วบอกว่า พอพระอาทิตย์ตก อากาศก็จะหนาวมาก แต่ที่ ไหนได้ เดินหน้ามันเยิ้ม เพราะใส่เสื้อมากเกินไป ผิดคาดไหมละคะ
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า สภาพธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยทั้งสิ้น
อ่าน ผิดคาด ... ที่พุทธคยา โดย สาวิกา ศาสตรพงศ์ แล้วสนุกมากค่ะ อ่านไปขำไป อ่านไปเกิดความศรัทธาบ้าง เกิดกุศลจิตบ้าง เกิดอกุศลจิตบ้างสลับกันไป ก็ เป็นแต่เพียงสภาพธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่เราแม้ขณะเดียว เพียงแต่ยังไม่รู้ความจริงเลยเพลิดเพลินไปกับอกุศลเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตาม ขำๆ ก็เป็นธรรมะ เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชานี่นา...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่แดงด้วยค่ะ
เรื่องเล่าของคุณสาวิกา สนุกได้บรรยากาศมุมมองและมีสาระน่าอ่านมากทุกครั้ง
ขออนุโมทนาครับ
ท่านอาจารย์พูดธรรมได้จับใจเช่นเคย แต่ก็ไม่สามารถจำมาเล่าได้ เสียดายที่ความจำเรื่องธรรมสั้นมาก เรื่องอื่นๆ จำได้หมด โดยเฉพาะเรื่องอกุศล ใคร เขาพูดให้เจ็บใจ ดูถูกดูหมิ่น ผ่านไปหลายปีแล้ว ก็ยังจำได้ทั้งกิริยาท่าทางและคำพูดแต่เรื่องสำคัญอย่างธรรม จำไม่ค่อยได้ ส่องให้เห็นว่า จริงๆ แล้วไม่คิดว่าธรรมสำคัญ จึง ไม่ให้ความสำคัญเหมือนอย่างที่หวังจะให้เป็น ถึงต้องเกิดแล้วเกิดอีก ทุกข์แล้วทุกข์ อีก อยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
ขออนุโมทนาค่ะขออนุโมทนาค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ ขออนุโมทนาค่ะชอบอ่านบทความของ อ.แดง มาก เป็นเช่นนั้นจริงๆ ค่ะ ผิดคาดไปหมดลืมว่าทุกอย่างอนัตตา
รู้สึกว่าชีวิตผิดคาดเพราะชีวิตเป็นสิ่งที่คาดหวังอะไรไม่ได้ เห็นประโยชน์ของการได้รู้จักคำว่า อนัตตา จึงพอเข้าใจได้บ้างว่า ทุกอย่างบังคับบัญชาไม่ได้ เกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัยจริงๆ
วันไหนตั้งใจว่าจะกลับบ้านเร็ว วันนั้นมักมีเรื่องให้ได้กลับช้า วันไหนตั้งใจว่าจะนอนหัวค่ำ วันนั้นมักจะได้นอนดึกอย่างมากเกินความคาดหมาย ตั้งใจว่าจะฟังธรรมอย่างตั้งใจ ก็อาจมีอุบัติเหตุอะไรให้ไม่ได้ฟังอย่างที่หวังไว้ คงเป็นเพราะไม่ได้เห็นความสำคัญของพระธรรมมากพอ อย่างที่ป้าแดงพูดจริงๆ เราจึงยังต้องเดินทางกันไม่หยุดอยู่อย่างนี้ และไม่มีโอกาสรู้ตัวล่วงหน้าด้วยว่า จะต้องเดินทางไปที่ไหน เมื่อไหร่ ถึงแม้ชีวิตนี้มักจะผิดคาด
แต่ที่ไม่ควรพลาดทุกครั้งที่ระลึกได้ คือ การสะสมเหตุใหม่ ด้วยการหมั่นศึกษาอบรมเจริญปัญญา บ่อยๆ เนืองๆ เพราะเมื่อสะสมเหตุถูก แม้ไม่ได้คาดหวังไว้ ผลที่ถูกต้องถูกตรงย่อมไม่หนีไปไหน ถึงอย่างไรก็ต้องได้ แม้จะไม่หวัง
ขออนุโมทนาป้าแดง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาและขอบพระคุณที่ให้ทั้งธรรม และบรรยากาศของคณะที่ได้ไปเจริญกุศลครับ
อนุโมทนาสาธุกับทุกท่านที่ได้ไปยังพุทธภูมิด้วยวิธีต่างๆ และวาระต่างๆ เคยได้กราบเรียนถามพระภิกษุที่ผ่านการอบรมธรรมว่าการไปพุทธภูมิมีความสำคัญแตกต่างจากการนมัสการพระไตรรัตน์ในประเทศอย่างไร
ท่านเมตตาตอบว่า เป็นการบำเพ็ญบารมี สิบข้อ ทาน สีล ภาวนาอื่นๆ จนครบ ๑๐ บารมี ตั้งแต่เริ่มสัทธาตั้งใจไปต้องเก็บออมปัจจัยที่ไม่อาจฟุ่มเฟือยกับเรื่องอกุสลอื่นๆ ใจ มโนกรรมเริ่มมีทานแล้ว ต้องอดทนเดินทางเป็นเนกขัมมะบารมี ตั้งใจรักษาสีลสำรวมกาย วาจา ใจตลอดการเดินทางเพราะไปกับหมู่คณะที่มีบารมีหรือตนเองตั้งใจมนสิการไว้เอง รวมๆ ทั้งหลายบารมี
น่าจะเป็นคำตอบแก่ผู้จะเดินทาง ไปยังพุทธภูมิเพื่อกราบสักการะสังเวชนียสถาน สิ่งที่ควรทำอันดับแรกน่าจะ มีโยนิโสมนสิการก่อนว่า เรานี้เป็นพุทธศาสนิกชนหากมีโอกาสซักครั้งในชีวิต สมควรไปกราบสังเวชนียสถานแห่งพุทธบิดาองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกสิ่งเกิดเริ่มที่มโนกรรมด้วย โสภณเจตสิกคือ สัทธาต่อด้วยสติ หิริโอตตัปปะ
เมื่อสัทธาแล้วควรมีสติไม่เผลอล่วงละเมิดกายวาจาใจ แม้จะพบอุปสรรคต่างๆ ระหว่างทางแม้การล่วงละเมิดในใจเช่นคิดบ่นนนนี่ บ่นนั่น หงุดหงิด รำคาญต่างๆ เป็นการฟุ้งซ่านแห่งอกุสลจิตจำต้องมีหิริโอตัปปะที่จะสำรวมกายวาจาใจเช่นนี้ เป็นต้น ที่เจ้าของกระทู้เล่ามามีประโยชน์อย่างมากเพื่อที่ศาสนิกอื่นได้เตรียมตัวเตรียมใจตลอดการเดินทางพุทธภูมิ
ขออนุโมทนาสาธุ
อ่านแล้วสนุกดีและขำด้วยและประทับใจด้วย เหมื่อนท่านอื่นเขียนไว้ว่า อ่านแล้วเกิดทั้งกุศลและอกุศล
ขอขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ เหมือนได้ไปเที่ยวงานบุญด้วย ชวนติดตาม จัดทำเป็นเล่มน่าจะดี มีคำสอนแทรกเป็นระยะๆ
เรียนท่านเจ้าของกระทู้ การไปครั้งนี้ ท่านไปกับคณะหรือไปส่วนตัวและค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไรคะ
ขออนุโมทนา
เรียนคุณ homenumber5
ดิฉันเดินทางไปกับคณะของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีผู้ร่วมเดินทางเป็นร้อย คุณสุวัฒ ชาญสุวิทยานันท์เป็นผู้จัดการทัวร์ การเดินทางที่เขียนเล่าไว้ใน "เสน่ห์อินเดีย" นั้น เป็นการไปถวายห้องสมุดธัมมปาละ ที่มูลนิธิศึกษาและเผยพระพุทธศาสนาเป็นเจ้าภาพซ่อมแซมถวาย การเดินทางไปครั้งนี้ไปนมัสการสังเวชนียสถานไม่ครบทั้ง ๔ แห่ง และเดินทางน้อยวัน ดิฉันจำราคาไม่ได้ (ความจำเกี่ยวกับตัวเลขราคาเหล่านี้ไม่ค่อยดีค่ะ) และเมื่อไปครั้งสุดท้าย ที่เขียนเล่าไว้ใน "อินเดีย...อีกแล้ว" นั้น ไปติดๆ กันในปีเดียวกัน เพราะสายการบินเจ็ตแอร์เวย์ของอินเดียจัดโปรโมชั่น และบริษัทเรดไอยราของคุณเกรียงศักดิ์ (ขาว 0897974488) ซึ่งเป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์ฟังธรรมเหมือนกัน ได้โควต้ามาแบ่งสรรให้ ในราคา ๓๖,๐๐๐ บาท ไปนมัสการครบทั้ง ๔ แห่ง รวมทั้งไปพระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถีด้วย ซึ่งพวกเราติดใจมาก เพราะราคาถูกกว่ากันครึ่งหนึ่ง จึงคิดว่าถ้าจะไปครั้งต่อไป ก็จะรอโปรโมชั่นของสายการบินอีก ส่วนการไปส่วนตัวนั้น ก็น่าสนใจค่ะ มีเพื่อนๆ ชวนไปเหมือนกัน ไปครบทั้ง ๔ แห่ง แต่นอนวัด ราคาประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท แต่ดิฉันก็อยากจะไปกับคณะท่านอาจารย์ เพราะจะมีการสนทนาธรรมทุกแห่ง ถ้าคุณ homenumber5 สนใจแบบไหน อยากจะทราบรายละเอียด สามารถไปพูดคุยกับคณะสหายธรรมได้ที่มูลนิธิศึกษาฯ ซึ่งเปิดทุกวันเสาร์อาทิตย์ หรือจะโทรไปสอบถามรายละเอียดก็ได้ ที่ 02 468 0239 ค่ะ หวังว่าคงจะพบกันในอินเดียสักครั้งนะคะ