สมาธิเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนาอย่างไร
องค์ธรรมของสมาธิและสมถะได้แก่เอกัคคตาเจตสิก คือความตั้งมั่นแห่งจิต องค์ธรรมของวิปัสสนาได้แก่ปัญญาเจตสิก คือความรู้ทั่ว สมาธิไม่ใช่วิปัสสนา
ทำไมท่านใช้คำว่า "สมาธิ" แทนวิโมกข์ เช่น สุญญตสมาธิ อนิมิตสมาธิ และ
อัปปณิหิตสมาธิ ซึ่งควรเป็น สุญญตวิโมกข์ อนิมิตวิโมกข์ และอัปปณิหิตสมาธิ
- ขณะที่หลุดพ้นด้วยอริยมรรคใช้คำว่าวิโมกข์ มีสุญญตวิโมกข์เป็นต้น
- ขณะที่เสวยผล คือผลจิตหรือผลสมาบัติของพระอริยะ ใช้คำว่า สมาธิ มุ่งกล่าวถึงสมาธิ
หมายความว่าขณะที่มรรคจิตเกิดแล้วหนึ่งขณะตามมาด้วยผลจิต พระอริยบุคคลผู้ได้อภิญญาสามารถเข้าสมาธิด้วยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ หมายถึงเสวยผลของการบรรลุโดยมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เข้าใจอย่างนี้ถูกไหมคะ ในพระไตรปิฏกมีบ้างไหม ที่ท่านใช้คำว่า " สมาธิ " ในความหมายของวิปัสสนา
ขอบพระคุณที่กรุณาตอบค่ะ
ลองดูข้อความในอนิมิตตปัญญหาสูตร
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 118
เชิญคลิกอ่านที่
สมาธิสูตร พูดถึงสมาธิแต่หมายถึงการเจริญวิปัสสนา
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 169
๖. สมาธิสูตร ว่าด้วยสมาธิ [๑๔๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิเถิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง รู้อะไรตามความเป็นจริง. รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า รูปทั้งหลายไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุวิญญาณไม่เที่ยงรู้ตามความเป็นจริงว่า จักษุสัมผัสไม่เที่ยง รู้ตามความเป็นจริงว่า สุขเวทนา ทุกขเวทนาหรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย ไม่เที่ยง ฯลฯ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๒ - หน้าที่ 404
๑. สมาธิสูตร
ผู้มีใจตั้งมั่นย่อมรู้ตามความเป็นจริง
[๑๖๕๔] สาวัตถีนิทาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ตามความเป็นจริง ย่อมรู้อะไรตามความเป็นจริง ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธนี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เธอทั้งหลายจงเจริญสมาธิ ภิกษุผู้มีใจตั้งมั่นแล้วย่อมรู้ตามความเป็นจริง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทย ฯลฯ