เมา ในชีวิต ความเป็นหนุ่มสาว ความไม่มีโรค
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับ เมื่อตน เป็นผู้มีความตาย เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ เห็นคนอื่นที่ตายแล้ว ก็ล่วงตนเองเสีย อึดอัด ระอา รังเกียจ ไม่คิดว่า แม้เรา ก็เป็นผู้มีความตาย เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ได้เห็นคนอื่นที่ตายไปแล้ว พึงอึดอัด ระอา รังเกียจข้อนั้น ไม่เป็นการสมควรแก่เราเลย ดูกร ภิกษุทั้งหลายเมื่อเรานั้น สำเหนียกอยู่ ดังกล่าวมาย่อมละ ความเมาในชีวิตเสียได้ โดยประการทั้งปวง"
เรื่องของการที่จะเห็นคนตาย ก็เป็นชีวิตประจำวัน อีกเหมือนกัน สติระลึกรู้ "สภาพของจิต" ในขณะที่เห็นคนตายได้หรือเปล่า เป็นเรื่องที่จะต้องเจริญสติปัฏฐานจริงๆ จึงจะรู้ลักษณะ ของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง
คือรู้ นามธรรมและรูปธรรม ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตามเหตุตามปัจจัยเห็นคนแก่บ้าง คนเจ็บบ้าง คนตายบ้าง แล้วก็จะรู้ความจริงว่า สภาพธรรมที่เกิดขึ้นปรากฏนั้น ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล
มีใครบ้างไหมคะที่ไม่รังเกียจคนตาย มีไหม อยู่ด้วยกัน กับคนตาย ๓-๔ วัน ได้ไหม มีหนอน มีหนอง มีเลือด บวมพอง เขียว ฯลฯ มีใครที่จะไม่รังเกียจบ้าง มีไหม ถ้ารังเกียจ ความรังเกียจ ที่เกิดขณะนั้นก็เป็นเพียงนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และถ้าสติเกิด ก็รู้ว่าสภาพจิตขณะนั้น เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล.
แต่ว่า ท่านที่เคยรังเกียจคนตาย อย่าลืมค่ะ ว่านั่นคือ ตัวท่านเอง แน่นอนที่สุด ตัวท่านเอง ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น...ในวันหนึ่ง ไม่มีใครพิเศษกว่าคนอื่นเหมือนกันหมด นี่คือความจริง
เพราะฉะนั้น การที่จะได้ รู้ความจริง ระลึกถึงความจริง บ่อยๆ และ เห็นความเป็นจริงเปรียบเทียบ กับ อสุภะต่างๆ และรู้ว่าตัวท่านเอง คือ อสุภะ ไม่ผิดกันเลย กับ อสุภะอื่นๆ
ในขณะที่มีความรู้ อย่างนั้นก็เป็นเหตุปัจจัย ให้ละคลายความเมาได้บ้างแต่ถ้ายังไม่สามารถดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉทแล้วละก็ สร่างเมาได้นิดนึง ก็เมาต่อไปอีก จนกว่าจะดับกิเลสหมดเป็นสมุจเฉท ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ย่อมเป็นปัจจัย ที่ทำให้อกุศลเกิดขึ้นได้อีก
ข้อความต่อไปมีว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลายความเมา ๓ ประการนี้ เป็นไฉน คือ ความเมาในความเป็นหนุ่มสาว ๑ ความเมาในความไม่มีโรค ๑ ความเมาในชีวิต ๑ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้ ไม่ได้สดับ ซึ่งเมาแล้ว ด้วยความเมา ในความเป็นหนุ่มสาวย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา ทางใจครั้นแล้ว เมื่อแตกกาย ตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.
.
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับซึ่งเมาแล้ว ด้วยความเมา ในความไม่มีโรคหรือ ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับผู้เมาแล้ว ด้วยความเมา ในชีวิตย่อมประพฤติทุจริต ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ครั้นแล้ว เมื่อแตกกาย ตายไป ย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ ผู้เมาแล้ว ด้วยความเมา ในความเป็นหนุ่มสาว ย่อมลาสิกขา สึกไป ภิกษุ ผู้เมาแล้ว ด้วยความเมา ในความไม่มีโรค หรือ ภิกษุ ผู้เมาแล้ว ด้วยความเมา ในชีวิตย่อมลาสิกขา สึกไป
ปุถุชน เป็นผู้มีความป่วยไข้ ความแก่ และ ความตาย เป็นธรรมดามีอยู่ตามธรรมดาแต่พากันรังเกียจ ก็การที่เราพึงรังเกียจความป่วยไข้ ความแก่ และ ความตายนี้ ในหมู่สัตว์ ซึ่งมีธรรมดา อย่างนี้ข้อนั้นไม่สมควรแก่เรา ผู้มีปกติอยู่เช่นนี้เรานั้นเป็นอยู่เช่นนี้ รู้จักธรรมที่หมดอุปธิ เห็นเนกขัมมะ โดยความ เป็นธรรมเกษมย่อมครอบงำ ความเมา ในความไม่มีโรคความเป็นหนุ่มสาว และใ นชีวิตเสียได้ทั้งหมดความอุตสาหะ ได้เกิดแล้ว แก่เรา ผู้เห็นนิพพาน ด้วยปัญญา อันยิ่งบัดนี้ เราไม่ควรเป็นผู้กลับไปเสพกามเรา จักเป็นผู้ไม่ถอยหลังจักเป็นผู้มีพรหมจรรย์ เป็นที่ไปเบื้องหน้า.
.
เมาหรือเปล่า ถ้า กำลังไม่มีโรค ลืมคิดไป ว่าจะต้องมีโรค ก็เมา ลืมคิดไป ว่า จะต้องแก่ ก็เมา ยังไม่ตาย แต่ลืมคิดไป ว่าจะต้องตาย ก็เมา
แนวทางเจริญวิปัสสนาบรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ขออนุโมทนา
เตือนสติได้มากจริงๆ ค่ะ....
ท่านที่เคยรังเกียจคนตาย อย่าลืมค่ะ ว่านั่นคือ ตัวท่านเอง แน่นอนที่สุด ตัวท่านเอง ก็จะต้องเป็นอย่างนั้น...ในวันหนึ่ง ไม่มีใครพิเศษกว่าคนอื่น เหมือนกันหมด นี่คือความจริง
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจิตน์
กราบอนุโมทนาคุณย่าและคุณพุทธรักษาด้วยค่ะ