เสน่ห์อินเดีย 21 สหายธรรมชาวกัมพูชา
สหายธรรมชาวกัมพูชา
บริเวณพระสถูปไม่ค่อยมีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ซากสิ่งก่อสร้าง ทำให้ดูไม่ร่มรื่นเหมือนที่พุทธคยา พวกเราหาที่สนทนาธรรมใต้ร่มของพระเจดีย์เพื่อหลบแดด หลายคนช่วยกันปูผ้านั่ง มีคณะอื่นนั่งอยู่ก่อนแล้วใต้ร่มเงาเดียวกัน บางกลุ่มก็สวดมนต์ บางกลุ่มก็นั่งสมาธิ รู้สึกว่าจะเป็นคนไทยทั้งนั้น และเมื่อมองไปรอบๆ บริเวณ เห็นนกแก้วสีเขียวหลายสิบตัว บินอยู่บนพระสถูป ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เมื่อมองไปทางเข้า ก็เห็นผู้แสวงบุญกลุ่มใหญ่ แต่งชุดขาว ถือธงฉัพพัณณรังสีและป้ายขนาดใหญ่เดินมา เข้าใจว่าเป็นกองทัพธรรมของศรีลังกา สามีบอกให้ดูกองทัพใหญ่มาแล้ว เมื่อมองดูดีๆ ก็เห็นท่านอาจารย์ของพวกเราเดินนำหน้ามาด้วย รู้สึกแปลกใจมาก ท่านอาจารย์ไปเข้ากลุ่มนี้ได้อย่างไร มองอีกที คนที่เดินข้างท่านอาจารย์ คือ คุณบุตร สาวงษ์ ชาวเขมรที่เป็นลูกศิษย์ฟังธรรมท่านอาจารย์ทางสถานีวิทยุ จนเป็นอาจารย์สอนธรรมที่มีชื่อเสียงของกัมพูชา ได้ทราบภายหลังว่า ท่านทั้งสองพบกันโดยบังเอิญที่ประตูทางเข้านั่นเองสร้างความปีติยินดีแก่พวกเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะเราเคยไปเขมรกับท่านอาจารย์ และชื่นชมคุณบุตร สาวงษ์ในความเข้าใจธรรม และปฏิภาณไหวพริบในการตอบธรรมของท่าน เคยมีคนถามว่า ทำไมทำบุญทำทานแล้วจึงยากจน ท่านตอบว่า “ความยากจนไม่ใช่อานิสงส์ของทาน” ทำให้จำได้ขึ้นใจ เหมือนกับที่เราเคยถามท่านอาจารย์ว่า “เมื่อไม่มีความหวัง แล้วชีวิตจะอยู่ได้อย่างไร” ท่านตอบว่า “ก็อยู่ด้วยปัญญาซิคะ” ซึ่งก็จำได้ขึ้นใจเหมือนกัน
เมื่อคณะสหายธรรมชาวกัมพูชาเวียนเทียนประทักษิณแล้ว ก็มารวมเป็นคณะเดียวกัน ชาวเขมรที่มาเป็นกลุ่มที่อพยพไปอยู่อเมริกา ล้วนแต่เป็นคนมีความรู้ทางธรรมทั้งนั้น คนหนึ่งแปลพระไตรปิฎกและอรรถกถาเป็นภาษาเขมร ได้ตั้งคำถามเป็นภาษาเขมร คุณบุตรแปลเป็นภาษาไทยให้ท่านอาจารย์ทราบ ท่านอาจารย์ตอบเป็นภาษาไทย คุณบุตรแปลคำตอบให้คณะเป็นภาษาเขมรอีกครั้ง ดีเหลือเกินที่ภาษาไม่ใช่อุปสรรคในการเผยแพร่พระธรรม รู้สึกเห็นด้วยและซาบซึ้งมาก เมื่อคุณบุตรกล่าวว่าท่านอาจารย์พูดธรรมได้ไพเราะมาก (ตามเคย จำไม่ได้อีกแล้วว่าท่านพูดว่าอะไร ความจริงช่องว่างที่แปลนั้น ถ้าจะจดก็ทัน แต่ไม่ได้เตรียมกระดาษปากกาไปด้วย วันหลังรู้แล้วว่า ตนเองความจำสั้นอย่างนี้ ต้องจดแล้วล่ะ)
เมื่อจบการสนทนาธรรม พวกเราก็นำประทีปโคมไฟมาจุด แล้วเวียนเทียนประทักษิณรอบพระสถูป พบชาวศรีลังกาหลายคนที่นำธงฉัพพัณณรังสีมาห่มรอบองค์พระสถูป เราส่งประทีปให้สาธุการ หลายคนน้ำตาไหลด้วยความปีติซาบซึ้งในไมตรีจิตของชาวพุทธต่างเชื้อชาติ แต่มีความศรัทธาในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวกัน (อันนี้คิดเอาเอง แต่ท่านเหล่านั้นก็น้ำตาไหลจริงๆ ) เสร็จแล้วก็กลับไปทานอาหารเย็นที่โรงแรม พรุ่งนี้กลุ่มหนึ่งซึ่งมีเราอยู่ด้วยจะเดินทางไปกุสินารา ต้องเตรียมจัดกระเป๋าเล็ก เพื่อเตรียมค้าง ๑ คืน และนำกระเป๋าใหญ่ฝากไว้ที่โรงแรม ต้องเดินทางแต่เช้าตั้งแต่ ๗ โมง ระยะทางประมาณ ๓๐๐ กม. ใช้เวลาประมาณ ๙ ชั่วโมง
ขอยืมคำพูดของน้าวีร์ว่า "การพบกันที่น่าอัศจรรย์" แอบเห็นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งจดบันทึกตลอดยังนึกอนุโมทนาเลยค่ะ ความจำสั้นเหมือนกัน วันหลังคงต้องจดแล้วละค่ะ
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ