เสน่ห์อินเดีย 22 เกินคาด ... ที่กุสินารา
เกินคาด ... ที่กุสินารา
วันนี้ต้องแต่งกายให้รัดกุม เพื่อเตรียมเข้าห้องน้ำธรรมชาติ เรานุ่งผ้าซิ่น ไม่มีอะไรรัดรึง เพื่อจะได้นั่งสบายๆ เมื่อรถแล่นพ้นตัวเมืองพาราณสีที่จอแจแล้ว คุณเผชิญก็ได้เปิดธรรมให้ฟัง ซึ่งเลือกหัวข้อที่น่าสนใจมาก ความจริงธรรมก็น่าสนใจทั้งหมด แต่จริตของเราชอบอย่างนี้ก็ว่าอย่างนี้ดี ดีเหลือเกินที่ได้ฟังธรรมที่ทำให้ใจสบายอย่างนี้เมื่อใจสบาย กายก็สงบ ฟังไปเพลินๆ ดูทิวทัศน์ข้างทางไปด้วย ไม่รู้สึกลำบากอะไรที่ต้องนั่งรถบนทางที่ขรุขระ เต็มไปด้วยฝุ่นในบางช่วงเช่นนี้ รถแล่นผ่านทุ่งนาข้าวสาลีที่กำลังออกรวง ลมข้างนอกพัดแรงจนทุ่งข้าวพริ้วไหวเป็นระลอกคลื่น บางช่วงเป็นดงต้นสาบเสือ ออกดอกสีม่วงเป็นกลุ่มสวยงาม บางช่วงก็เป็นทางยาว มองไกลๆ เหมือนถนนสีม่วง เห็นผู้หญิงอินเดียห่มสาหรีสีต่างๆ นั่งเป็นกลุ่มอยู่กลางทุ่งโล่ง ได้ทราบว่า เป็นสมาคมแม่บ้านที่ออกมาถ่ายทุกข์
เคยได้ยินคนพูดเป็นเชิงปรัชญาชีวิตว่า เวลารับประทานอาหารหรูหราราคาแพง สามารถเชิญใครๆ มาร่วมรับประทานอาหารได้ แต่เวลาจะถ่ายต้องแอบไปถ่ายคนเดียว ประโยคนี้ใช้ไม่ได้กับชาวอินเดีย เพราะที่นี่ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วยกัน กินด้วยกัน ถ่ายด้วยกันสามัคคีกันดีแท้ มิน่า เวลาขอ ถึงมารุมขอพร้อมๆ กัน เลยอดด้วยกันทั้งหมดเลย ได้ฟังธรรม ทำให้จิตใจเบาสบาย แต่ห้ามถามว่า ฟังเรื่องอะไร เพราะคงสะสมการ “เห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ และเห็นสิ่งที่เป็นสาระ ว่าไม่เป็นสาระ” มาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ จึงจำเรื่องอื่นๆ ได้ละเอียดลออ ต้นไม้ นกร้อง หรืออะไรต่อมิอะไร แต่เรื่องธรรมจำไม่ค่อยได้ เมื่อใจสบาย กายสบาย ก็เผลอหลับไป ตื่นขึ้นมาอีกที เมื่อรถจอดให้ไปทำธุระส่วนตัว จะต้องการหรือไม่ก็ตาม ก็ควรจะจัดการให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นจะลำบาก ถ้าเกิดต้องการขึ้นมาคนเดียว รถจอดที่ริมถนน ข้างทางเป็นทุ่งข้าวสาลี ที่ไหวพลิ้วด้วยแรงลม เราหมายตาว่าต้องเดินไปถึงถนนสายเล็กๆ ที่เห็นข้างหน้า เพราะอยากเห็นข้าวสาลีใกล้ๆ เดินหลบหลีกกับระเบิดที่เห็นอยู่ประปราย ไปถึงถนนดินที่เห็น ไม่ผิดหวัง เพราะทุ่งข้าวสวยมากมีดอกไม้เล็กๆ สีน้ำเงินเข้ม เกสรสีเหลือง อยู่ริมคันนา สวยเสียจนต้องหาที่เหมาะๆ ทำธุระ ไม่อยากให้กลีบดอกที่บอบบางนั้นถูกน้ำร้อน นับว่าเป็นห้องน้ำธรรมชาติที่สวยที่สุดที่เคยเห็น เมื่อกลับมาบนรถอีกครั้ง หลังจากน้องมัชฌิมานำน้ำมาบริการให้ล้างมือแล้ว ก็เริ่มแจกกล่องอาหารกลางวัน หลายคนบอกให้ทานเสียบนรถ เพราะร้านข้างทางที่จะหยุดแวะนั้นอาจจะไม่สะอาด แต่เมื่อถึงจุดจอดรถ ก็พบว่า ร้านข้างทางนั้นสะอาดพอสมควรแม้ฝุ่นจากถนนจะเยอะด้วยแรงลมก็ตาม ห้องน้ำก็สะอาด มีชักโครก มีอ่างล้างมือ
ผิดกับเมื่อห้าปีก่อน ที่แวะทานอาหารข้างทาง แล้วมีคนท้องเสียกันหลายคน พวกเราพักดื่มน้ำชาที่ร้านนี้กันพักใหญ่ เดินยืดเส้นยืดสายกันทั่วร้าน หลังร้านปลูกข้าวโพด ต้นยังไม่สูง แต่อวบอ้วนเท่าแขนเด็ก (ผอมๆ ) ไม่เคยเห็นมาก่อน ดูน่าอัศจรรย์ อาจจะคนละพันธุ์กับที่บ้านเรา หรืออย่างไร เห็นคุณฝนกับคุณโจหลบไปนั่งตากลมอยู่ที่ประตูทางเข้าด้านหนึ่ง สอบถามได้ความว่า คุณฝนเมารถ เวียนศีรษะจนลืมตาไม่ได้ สามีเราเลยบริการนวดแผนจีน นวดที่มือให้เลือดลมเดิน ปรากฏว่าคุณฝนอาการดีขึ้น ที่ต้องโฆษณาสรรพคุณ เพราะว่าถ้าเกิดมีคนเมารถ ก็ใช้บริการได้ แต่คิดค่าบริการแพงหน่อย คือ คิดเป็นบุญ ซึ่งจะติดตามให้ผลตลอดไป แพงไหมละคะ รถแล่นผ่านเมืองโครักขปูร์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ แต่ใหญ่แบบอินเดีย คือ มีร้านขายของและผู้คนมากมาย แต่ไม่ได้เป็นระเบียบสวยงามแต่อย่างไร บริเวณนี้คงเป็นแหล่งเกษตรกรรม มีตลาดที่ขายหัวหอม มันฝรั่ง มากมายเหมือนตลาดสี่มุมเมืองของเรา เมื่อถึงเมืองโครักขปูร์แล้ว อีก ๕๐ กม. ก็จะถึงเมืองกุสินารา จุดหมายปลายทางของเรา
ยังระลึกถึงพระคุณของ อ.สงบ กับ อ.แดง เสมอ วันนั้นถ้าไม่ได้รับการนวดคงแย่แน่ๆ น่าไปเรียนนวดแบบนี้ ใครสนใจถาม อ.สงบ ได้ค่ะ เพราะช่วยคนที่กำลังทุกข์ได้มาก ทีเดียว กราบอนุโมทนานะคะ