เสน่ห์อินเดีย 24 ถวายยาที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
ถวายยาที่วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์
รถพากลับมาที่โรงแรมอิมพีเรียลที่เราจะพัก ๑ คืน เป็นโรงแรมใหม่ ดูสวยสะอาดน่ารัก มีต้นรักเร่ออกดอกสวยงามปลูกอยู่โดยรอบ เมื่อทานอาหารเย็นที่มีรสชาดคล้ายคลึงกับอาหารไทยเรียบร้อยแล้ว คุณโจก็มาบอกว่าได้นิมนต์พระที่วัดไทยไว้ ๕ รูป เพื่อถวายสังฆทาน จึงรีบเดินในความมืด ระยะทางไม่เกิน ๑๐๐ เมตร จากโรงแรมไปวัดอากาศข้างนอกหนาวเย็นกำลังสบายเมื่อใส่เสื้อหนาว ลมพัดเอื่อยๆ มองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นดาวมากมายบนพื้นฟ้าสีน้ำเงินเข้ม สวยจนไม่อยากละสายตาไปที่อื่น แต่ก็ต้องจำใจมามองพื้นดินบ้าง (ตาดูดาว เท้าติดดิน) เพื่อจะได้ไม่หกล้ม การถวายสังฆทานครั้งนี้ คณะบ้านธัมมะจากเชียงใหม่เป็นผู้ริเริ่ม โดยมีท่านพลตรีศิลกัล กัลยาณมิตร อาจารย์ฉัตรชัย กิตติพรชัย ประธานและรองประธานบ้านธัมมะ นต.จรัล และคุณสายฝน ปานุราช คุณชุมพร คุณจิมมี่ และอีกหลายคน เพราะเมื่อมาอินเดียคราวก่อน ที่วัดไทยมีสถานพยาบาลสำหรับรักษาคนไข้ทั้งชาวไทยและอินเดียมารักษาวันละเป็นร้อย ทางวัดต้องการยาและเงินบริจาคจำนวนมาก มาอินเดียครั้งนี้คณะบ้านธัมมะจึงจัดหายามาจำนวนหลายกล่อง หอบหิ้วขึ้นเครื่องมาจากเชียงใหม่ แวะที่กรุงเทพ ผ่านพุทธคยา สารนาถ และพานั่งรถมาด้วยกันจนถึงกุสินารา ไม่ทราบว่ายาจะบอบช้ำเหมือนคนพามาบ้างหรือไม่ (พูดเล่นค่ะ เพราะทุกคนดูสดใสด้วยบุญกุศล)
เมื่อเดินไปถึงวัด ผ่านเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับพระราชทานมาจากในหลวงนั้น ทางวัดเปิดไฟไว้สวยงาม เราเดินผ่านไปเพื่อรีบไปให้ทันเวลาที่นิมนต์พระคุณเจ้าไว้ ไปถึงพระคุณเจ้านั่งคอยอยู่แล้ว ระหว่างการสนทนา ท่านเล่าว่า เมื่อเดือนก่อนคณะผู้แสวงบุญชาวไทยมาท้องเสียที่อินเดีย เมื่อพาไปโรงพยาบาล คนไข้เห็นว่าสกปรก ไม่ยอมอยู่ ก็กลับมาโรงแรม แล้วก็เสียชีวิตที่โรงแรม ต้องเผาที่กัลกัตตาแล้วนำอัฐิกลับเมืองไทย คิดถึงอาจารย์พีรพลที่ท้องเสียมากเหมือนกัน ท่านบอกว่าคิดว่าจะเอาชีวิตมาทิ้งที่อินเดียเสียแล้ว (แต่เราว่าได้เกิดใหม่ที่อินเดียต่างหาก ซึ่งเหมือนกัน เพราะเมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิจิตก็เกิดทันที) แต่คณะเราโชคดีที่มีหมอและพยาบาลหลายท่าน (แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นหมอ เพราะรายชื่อใช้คำนำหน้าว่า คุณ ทุกคน มารู้เมื่อเกือบจะกลับแล้ว) แต่ละคนล้วนมีเมตตาจิตช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยเฉพาะคุณโจและคุณฝน พยาบาล คู่สามีภรรยาจากบ้านธัมมะ เชียงใหม่ ที่กระตือรือร้นในการรักษาพยาบาลคนเจ็บป่วยทุกคนที่เธอทราบ สามีเราก็ท้องเสียและเป็นไข้เหมือนกัน ได้เธอทั้งคู่นี่แหละที่ช่วยดูแลจนหายป่วย ขออนุโมทนาค่ะ
เมื่อถึงเวลาถวายสังฆทาน รวบรวมเงินจากคณะได้จำนวนสองหมื่นกว่าบาท พร้อมกับยาหลายกล่องจากบ้านธัมมะ นึกถึงอานิสงส์ของการถวายยาที่แสดงไว้ในขุททกนิกาย อปทาน ท่านพระปิลินทวัจฉเถระกล่าวไว้ว่า เราได้ถวายเภสัชในพระสุคตเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๑๐ ประการอันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีอายุยืน ๑ มีกำลัง ๑ มีปัญญา ๑ มีวรรณะ ๑ มียศ ๑ มีสุข ๑ ไม่มีอันตราย ๑ ไม่มีจัญไร ๑ มหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๑ เราไม่มีความพลัดพรากจากของที่รัก ๑ เพราะกรรมนั้นให้ผลแก่เรา ทุกคนคงมีประสบการณ์เมื่อเกิดโรคภัยต่างๆ ไ ด้ดี เมื่อมีโอกาสจะช่วยผู้ป่วยเจ็บให้พ้นทุกข์หายป่วยได้ ก็ยินดีจะกระทำ ทุกคนไม่อยากมีโรค เพราะความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ แต่ลาภที่ประเสริฐยิ่งกว่านั้นคือการเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงที่จะทำให้หายจากโรคทางใจ ซึ่งพวกเราทุกคนเป็นโรคทางใจกันตลอดเวลา ผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้น หาได้ยากในโลก เว้นแต่พระขีณาสพ (จาก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต โรคสูตร)
ผู้ที่จะยืนยันว่าไม่มีโรคทางใจแม้เพียงเวลาครู่เดียวนั้น
หาได้ยากในโลก เว้นแต่พระขีณาสพ
สาธุ
พอทราบข่าวว่าจะนำยาไปทำบุญที่กุสินารา ก็มีผู้ร่วมเจริญกุศลหลายท่านด้วยกัน มี อ.สงบ อ.แดง พี่ๆ น้องๆ พยาบาลอีกหลายท่านเช่น น.ท.หญิงขนิษฐา พี่กมลวรรณพี่ฤดีถวิล น้องสายอรุณ วราพร รัตนา พร้อมครอบครัว จิราภรณ์ และอีกหลายท่านที่ช่วยเป็นแรงในการจัดหา ต้องกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ