เสน่ห์อินเดีย 27 กลับพาราณสี
กลับพาราณสี
พวกเราเริ่มออกเดินทางจากกุสินาราเวลาประมาณเก้าโมงครึ่ง รถแล่นกลับมาทางเดิม แต่ก็ไม่เหมือนเดิมสำหรับเรา เพราะตอนขามานั้น จิตเข้าสู่ภวังค์เสียโดยมากตอนขากลับจึงได้เห็นสิ่งที่น่าสนใจซึ่งตอนหลับไม่เห็นหลายอย่าง เช่น เมื่อรถจอดให้ลงไปทำธุระในป่าไม้แห่งหนึ่ง ที่มีต้นไม้สูงใหญ่มากมาย แต่ใบไม้ทุกใบเต็มไปด้วยฝุ่นยังแปลกใจเลยว่า แล้วจะหายใจได้ไหมนะ เมื่อกลับมาเมืองไทย เปิดหนังสือ “เกี่ยวกับอินเดีย” ดูแล้ว จึงทราบว่า เป็นป่าสาละพุทธชยันตี เขตจังหวัดโครักขปูร์ ซึ่งคิดว่าเป็นป่าสาละของพวกมัลลกษัตริย์ ที่อยู่ใกล้กรุงกุสินาราในอดีต รถแล่นข้ามสะพาน เห็นแม่น้ำกว้างใหญ่มาก จนมองไม่เห็นอีกฝั่งหนึ่ง คิดว่าน่าจะเป็นทะเล แต่จากแผนที่แล้ว เราไม่ได้อยู่ใกล้ทะเลเลย จึงต้องถามน้องอ้อ (ปุณจิราเรืองเกษม) ผู้ทำหน้าที่เป็นไกด์ประจำรถ (คนที่เพิ่งมาใหม่ อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าน้องอ้อ เป็นลูกสาวเจ้าของบริษัททัวร์ แต่น้องอ้อก็คือลูกทัวร์เหมือนเรานี่แหละ แต่เธอทำหน้าที่ดูแลจัดการสิ่งต่างๆ ด้วยกุศลจิตอย่างดีมาก) คุณอ้อก็ดีใจหาย เมื่อป้าอยากรู้ แต่อ้อไม่รู้ ก็ไปถามไกด์อินเดียประจำรถ ที่ทำหน้าที่นับจำนวนคนอย่างเดียว แล้ววิ่งกลับมาบอกว่า เป็นสาขาหนึ่งของแม่น้ำคงคาค่ะป้า เฮ้อ ตอบอย่างนี้ ไม่ต้องถามดีกว่า
และรถก็หยุดที่ร้านอาหารร้านเก่าให้รับประทานอาหารกลางวัน ที่จัดมาจากโรงแรมอิมพีเรียล มีผัดกระเพราหมู ไข่ดาว และผัดผัก แถมทางร้านยังจัดน้ำปลาพริกให้ด้วย เยี่ยมจริงๆ เมื่อรถวิ่งผ่านทางที่กำลังก่อสร้าง ได้ยินเสียงดังปั๊งใหญ่จากรถ แต่เมื่อทุกคนช่วยกันมองหา ก็ไม่พบอะไร และต่อมาไม่นานนักก็ได้ยินเสียงทำนองนั้นอีกครั้ง (ไม่ใช่เสียงเก่าแน่ เพราะดับไปหมดแล้วค่ะ) และที่สุดก็ได้ยินอีก พร้อมกับเห็นที่มาของเสียงคือ ฝาปิดคอมเพรสเซอร์แอร์ที่หลุดจากหลังคาปลิวไปที่ข้างถนน โชคดีที่ถูกต้นไม้ข้างทาง ถ้าถูกศีรษะคนที่เดินมาหรือถูกรถที่แล่นตามมา คงเกิดเรื่องใหญ่แน่ และรถก็จอดสนิท เด็กรถวิ่งไปเก็บชิ้นส่วนขนาดใหญ่มาไว้ในรถ ไกด์อินเดียบอกว่า แอร์เสีย จะรอช่างมาซ่อม หรือจะวิ่งต่อไป พวกเราทุกคนพร้อมใจกันให้วิ่งต่อไป เพราะไม่เชื่อใจว่าช่างแขกจะมาเร็วขนาดไหน อาจจะต้องค้างคืนในรถก็ได้
คราวนี้ต้องเปิดกระจกรถรับฝุ่นที่ฟุ้งกระจายเต็มไปหมด เพื่อให้มีอากาศหายใจเราไม่ได้เอาผ้าปิดจมูกไปด้วย ตอนแรกคิดว่าจะเอาไป แต่เมื่ออ่าน “อินเดียไดอารี่”ของคุณวีระยุทธ์ที่บอกว่า คนไทยทำตัวไม่กลมกลืนกับคนอินเดีย จะไปที่ไหนก็มีผ้าปิดปากปิดจมูก เราก็เห็นด้วย จึงไม่คิดจะเอาไป เมื่อมีเหตุการณ์ที่ต้องสูดฝุ่นข้างถนนมากๆ ก็อดคิดถึงผ้าปิดจมูกไม่ได้ แต่ก็ยังโชคดี ได้น้องหน่อยคนใจดีที่นั่งอยู่ข้างๆ มอบให้ ๒ ชิ้น ขอบพระคุณมากค่ะ ป้าก็อย่างนี้แหละ ของที่จำเป็นก็มักจะลืมเสมอและในที่สุด เราก็ถึงโรงแรมเวลาห้าโมงครึ่ง ใช้เวลาเดินทาง ๙ ชั่วโมงพอดี มีของฝากเป็นฝุ่นติดหน้าตาและเสื้อผ้าเต็มไปหมด
ขออนุโมทนา และขออภัยด้วยค่ะที่เป็นคนหนึ่งที่เข้าใจว่าน้องอ้อ ปุณจิราเป็นคณะของบริษัททัวร์ฯ ในครั้งแรก .......ขอขอบพระคุณคุณพี่แดงและขออนุโมทนาที่นำเรื่องมาเล่า ทำให้หายข้องใจในเรื่องที่ใคร่อยากจะรู้ ที่มาที่ไปหลายต่อหลายเรื่อง .......ขออนุโมทนาค่ะ