เสน่ห์อินเดีย 28 แม่น้ำคงคา

 
kanchana.c
วันที่  8 มี.ค. 2552
หมายเลข  11556
อ่าน  2,402

แม่น้ำคงคา

วันที่ ๒๓ ก.พ. ๕๒ เป็นวันสุดท้ายของการเดินทาง หลังทานอาหารเย็นเมื่อคืนทางทัวร์ได้นัดว่าให้ตื่นตีสี่ครึ่ง เพื่อจะได้ไปชมแม่น้ำคงคาตอนตีห้าครึ่ง เพราะถ้าสายแล้วแดดจะร้อน เรารับประทานอาหารเสร็จก็รีบขึ้นไปจัดกระเป๋าเตรียมกลับบ้าน แล้วรีบนอน ตื่นมาก่อนเวลาปลุก รู้สึกไม่ง่วงแล้ว เลยไม่ติดการนอน อาบน้ำเสร็จ ก็ยังไม่มีการปลุก ดูนาฬิกาเกือบจะตีห้าแล้ว จึงปลุกสามี เขายังไม่หายง่วง เอานาฬิกามาดู แล้วบอกว่า เพิ่งตีสี่ รอโทรศัพท์ปลุกก่อนถึงตื่น เราเลยนอนต่อ แต่นอนไม่หลับ เลยแต่งตัวแล้วลงไปข้างล่าง ปรากฏว่าไม่มีคนอยู่ที่ล็อบบี้เลย เดินไปถามยามที่ป้อม เขาบอกว่ารถไทยแลนด์เพิ่งออกไป รู้สึกโกรธสามีมาก ที่ไม่ยอมตื่น (เห็นความติดเที่ยวของตัวเองหรือยัง) แต่ความจริงจะโทษเขาก็ไม่ได้ วันก่อนที่ไปกุสินารา ทางโรงแรมก็มีทั้งมอร์นิ่งคอล และมอร์นิ่งเคาะ เพราะกลัวเราไม่ตื่น แต่วันนี้จะไม่ปลุกก็ไม่บอกกันก่อน พอบอกสามีว่า เขาไปกันแล้ว เขาก็บอกว่า ดี จะได้นอนต่อ เราเลยแสดงท่าทางไม่เหมาะสมด้วยความไม่พอใจ จะมานอนหรือยังไงกัน เดี๋ยวกลับไปกรุงเทพฯ ก็ได้นอนแล้ว เมื่อเห็นเราโมโหจริงๆ ก็ลุกขึ้นมาอาบน้ำแต่งตัวได้ แล้วก็ลงไปที่ป้อมยามของโรงแรมซึ่งมีแท็กซี่จอดอยู่หลายคัน โชเฟอร์คนที่บอกว่า รถไทยแลนด์ไปแล้ว ก็มาเสนอราคา ๕๐๐ รูปี เราไม่มีความรู้เลยว่า ระยะทางจากโรงแรมไปแม่น้ำคงคาใกล้ไกลแค่ไหน แต่รู้สึกว่าแพงไป ไม่ไปดีกว่า เขาเลยลดมาเหลือ ๒๐๐ รูปี แต่เราไม่มีเงินรูปีเหลืออยู่เลย จึงต่อเหลือ ๕ ดอลลาร์ ก็ตกลง

นั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ได้เห็นทิวทัศน์ของเมืองพาราณสีในยามเช้ามืดอีกแบบหนึ่งโชเฟอร์บอกว่า วันนี้เป็นวันเทศกาลของพระศิวะ จะมีคนไปอาบน้ำที่แม่น้ำคงคามากมาย เราก็เห็นคนเดินกันเต็มถนน เมื่อไปถึงท่าน้ำแห่งหนึ่งในจำนวนหลายแห่ง ก็เห็นคนมากมายจริงๆ มีนายหน้ามาบอกราคาค่าเรือที่จะพาชมแม่น้ำคงคาว่า ๗๐๐ รูปี เราก็รู้สึกว่าแพงไป (ใช้ความรู้สึกทั้งหมด) บอกว่า ไม่เป็นไ ร จะเดินดูตามท่าน้ำนี่ก็พอแล้วเมื่อเห็นว่าเราไม่ไปจริงๆ ก็ลดราคาเหลือ ๒๐๐ รูป เราก็ต่อเป็น ๕ ดอลลาร์อีกเหมือนเดิม และก็ได้ชมแม่น้ำคงคาเสียที แขกที่พายเรือบอกชื่อปราสาทต่างๆ ที่สร้างไว้ริมแม่น้ำ พร้อมทั้งชี้ให้ดูพระอาทิตย์ขึ้น บอกว่าเราโชคดีแล้วที่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่แม่น้ำคงคา ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง คนพายเรือต้องโชคดีกว่าเราหลายเท่า เพราะเห็นทุกวันแต่ก็ยังต้องมาพายเรืออยู่เหมือนเดิม มีผู้คนชาวอินเดียทุกเพศ ทุกวัยลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาเต็มไปหมด เราเห็นศพผู้ชายคนหนึ่งนอนหงายลอยแข็งทื่ออยู่ในน้ำ จึงชี้ให้สามีดู พอสามีหันไปดู ศพนั้นก็โบกมือให้ เมื่อรู้ว่าไม่ใช่ศพ ก็ต้องรีบมองไปทางอื่น เพราะพี่แกเล่นไม่ใส่อะไรเลยลอยน้ำอย่างนั้น แถมแก่แล้วอีกต่างหาก เมื่อได้เห็นคนอาบน้ำลอยบาปซึ่งมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลแล้ว

ในศาสนาพราหมณ์ถือว่าแม่น้ำคงคา (และแม่น้ำสายอื่นอีก ๖ สาย) เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ เพราะไหลมาจากสวรรค์ ผ่านเศียรพระศิวะ สามารถล้างบาปได้ ทำให้ผู้อาบลอยบาปไปตามกระแสน้ำหรืออาบแล้วทำให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ทำให้คิดถึงคำที่ท่านปุณณิกาเถรีกล่าวกับพราหมณ์ชราที่มาอาบน้ำเพื่อลอยบาปในหน้าหนาว จนได้รับความทุกข์จนตัวสั่นเพราะความหนาวว่า “ถ้าบุคคลจะพ้นจากบาปกรรมได้เพราะการรดน้ำ (ศักดิ์สิทธิ์) แล้วกบ เต่า งู จระเข้และสัตว์น้ำทั้งปวงก็จักไปสวรรค์ได้เป็นแน่” พราหมณ์นั้นได้ฟังแล้วก็เกิดสติ สำเร็จวิชชา ๓ เป็นพราหมณ์อย่างแท้จริง และในชฎิลสูตร ซึ่งมีข้อความว่า

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ คยาสีสะประเทศใกล้บ้านคยา ก็สมัยนั้นแล ชฎิลมากด้วยกันผุดขึ้นบ้าง ดำลงบ้าง ผุดขึ้นและดำลงบ้าง รดน้ำบ้าง บูชาไฟบ้างที่แม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตก ระหว่าง ๘ วัน ในราตรีมีความหนาวในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยการกระทำนี้ พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นพวกชฎิลเหล่านั้น ผุดขึ้นบ้าง ดำลงบ้าง ผุดขึ้นและดำลงบ้าง รดน้ำบ้าง บูชาไฟบ้างที่ท่าแม่น้ำคยา ในสมัยหิมะตกระหว่าง ๘ วัน ในราตรีมีความหนาวในเหมันตฤดู ด้วยคิดเห็นว่า ความหมดจดย่อมมีได้ด้วยการกระทำนี้ ฯ ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ได้ทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่า ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ (แต่) ชนเป็นอันมากยังอาบอยู่ในน้ำนี้ สัจจะ และธรรมะมีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์

แม้เวลาจะผ่านไปแล้วเกือบสามพันปี แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายที่ยังมีความเห็นผิดว่า การอาบน้ำนั้นสามารถทำให้บริสุทธิ์จากบาปกรรมที่ได้กระทำแล้วได้ โชคดีเหลือเกินที่ได้เรามีโอกาสได้ฟังพระธรรม จึงไม่มีความเห็นผิดเช่นนี้ แต่ก็ยังความเห็นผิดอย่างอื่นมาก ซึ่งจะต้องขัดเกลาต่อไปด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้น เมื่อได้เวลาก็กลับมาที่ท่าน้ำเดิมอีกครั้ง โชเฟอร์คนเก่ายังคอยอยู่ เลยต้องถามให้แน่ใจว่า ไปโรงแรมคิดค่ารถเท่าไร เพราะเขาเสียเวลาคอยอยู่เกือบชั่วโมง เขาบอกว่า ๖ ดอลลาร์ จึงต้องถามให้แน่ใจว่า สำหรับ ๒ คนน่ะ คราวนี้โชเฟอร์หัวเราะ บอกว่าใช่ คนละ ๓ ดอลลาร์ และแล้วเราก็กลับถึงโรงแรมด้วยความปลอดภัย การเดินทางด้วยตนเองครั้งนี้ทำให้มีความมั่นใจมากขึ้นว่า สามารถจะมาเที่ยวเมืองอินเดียด้วยตนเอง เพราะไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ได้ยินได้ฟังมา แต่เมื่อกลับมาถึงโรงแรม ก็มีคนเล่าว่า มีนักท่องเที่ยวถูกแท็กซี่จี้ ทรัพย์สินหายไปพร้อมพาสปอร์ต ดีที่ไม่ได้ยินก่อนนะ ไม่อย่างนั้นคงจะไม่กล้าไปเหมือนกัน


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 9 มี.ค. 2552

ความสะอาดย่อมไม่มีเพราะน้ำ (แต่) ชนเป็นอันมากยังอาบอยู่ในน้ำนี้ สัจจะ และธรรมะมีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นเป็นผู้สะอาดและเป็นพราหมณ์

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 9 มี.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 9 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
saifon.p
วันที่ 9 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pornchai.s
วันที่ 9 มี.ค. 2552

อ่านตอนต่อไปเชิญ คลิก ครับ เสน่ห์อินเดีย 29

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
คุณ
วันที่ 10 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ING
วันที่ 13 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ