ภยสูตร ... วันเสาร์ ๑๔ มี.ค. ๒๕๕๒

 
บ้านธัมมะ
วันที่  9 มี.ค. 2552
หมายเลข  11563
อ่าน  2,861

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทธสฺส

พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

... สนทนาธรรมที่ ...

มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ

วันเสาร์ ๑๔ มี.ค. ๒๕๕๒ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น.

ภยสูตร

ว่าด้วยอมาตาปุตติกภัย ๓ อย่าง

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๒๙๕

[เล่มที่ 34] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๒๙๕

๒. ภยสูตร

ว่าด้วยอมาตาปุตติกภัย ๓ อย่าง

[๕๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมกล่าวภัย๓ อย่างนี้ว่าเป็น อมาตาปุตติกภัย ๓ อย่าง คืออะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยที่เกิดไฟไหม้ใหญ่มีอยู่ เมื่อเกิดไฟไหม้ใหญ่ หมู่บ้านบ้าง ตำบลบ้าง นครบ้าง ก็ถูกไฟนั้นไหม้ เมื่อหมู่บ้านบ้าง ตำบลบ้าง นครบ้างไหม้อยู่ มารดาย่อมพลัดบุตรบ้าง บุตรพลัดมารดาบ้างในเพราะอัคคีภัยนั้น อัคคีภัยนี่ ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับกล่าวว่าเป็น อมาตาปุตติกภัยข้อหนึ่ง อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุทั้งหลาย สมัยที่เกิดฝนตกใหญ่มีอยู่ เมื่อเกิดฝนตกใหญ่ ก็เกิดน้ำบ่าใหญ่ เมื่อเกิดน้ำบ่าใหญ่ หมู่บ้านบ้างตำบลบ้าง นครบ้าง ถูกน้ำนั้นพัดไป เมื่อหมู่บ้านบ้าง ตำบลบ้างนครบ้างถูกพัดไป มารดาย่อมพลัดบุตรบ้าง บุตรย่อมพลัดมารดาบ้าง ในเพราะอุทกภัยนั้น อุทกภัยนี่ ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับกล่าวว่า เป็นอมาตาปุตติกภัยข้อสอง

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย สมัยที่เกิดภัยมีอยู่ คือโจรป่ากำเริบ (ยกเข้าปล้นบ้านเมือง) ชาวชนบทผู้ขึ้นอยู่ในยานพาหนะ แตกกระจัดกระจายกันไป เมื่อเกิดภัยคือโจรป่ากำเริบ ชาวชนบทผู้ขึ้นอยู่ใน ยานพาหนะ แตกกระจัดกระจายกันไปนั่นแล มารดาย่อมพลัดบุตรบ้าง บุตรพลัดมารดาบ้าง ในเพราะโจรภัยนั้น โจรภัยนี่ ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับกล่าวว่า เป็นอมาตาปุตติกภัยข้อสาม

ภัย ๓ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับกล่าวว่าเป็น อมาตาปุตติกภัย แต่ว่า ภัย ๓ อย่างนี้ ยังเป็นสมาตาปุตติกภัยแท้ๆ ปุถุชนผู้มิได้สดับกล่าวว่าเป็นอมาตาปุตติกภัย ภัย ๓ อย่างคืออะไร

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มีอยู่สมัยที่เกิดไฟไหม้ใหญ่ ฯลฯ เมื่อหมู่บ้านบ้างตำบลบ้าง นครบ้างไหม้อยู่ ยังมีคราวที่ ลางที ลางหน มารดากลับพบบุตรบ้าง บุตรกลับพบมารดาบ้าง อัคคีภัยนี้ ภิกษุทั้งหลาย ยังเป็นสมาตาปุตติกภัยแท้ๆ ข้อหนึ่ง ปุถุชนผู้มิได้สดับกล่าวว่าเป็น อมาตาปุตติกภัย

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ สมัยที่เกิดฝนตกใหญ่ ฯ เมื่อหมู่บ้านบ้าง ตำบลบ้าง นครบ้างถูกพัดไป ยังมีคราวที่ลางทีลางหน มารดากลับพบบุตรบ้าง บุตรกลับพบมารดาบ้าง อุทกภัยนี้ ภิกษุทั้งหลาย ยังเป็นสมาตาปุตติกภัยแท้ๆ ข้อสอง ปุถุชนผู้มิได้สดับกล่าวว่าเป็นอมาตาปุตติกภัย

อีกข้อหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย มีอยู่ สมัยที่เกิดภัย คือโจรป่ากำเริบ ฯลฯ ชาวชนบทผู้ขึ้นอยู่ใน (อาณา) จักร แตกกระจัดกระจายกันไป ยังมีคราวที่ลางทีลางหน มารดากลับพบบุตรบ้าง บุตรกลับพบมารดาบ้าง โจรภัยนี้ ภิกษุทั้งหลาย ยังเป็นสมาตาปุตติกภัยแท้ๆ ข้อสามปุถุชนผู้มิได้สดับ กล่าวว่าเป็นอมาตาปุตติกภัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภัย ๓ นี้เป็นอมาตาปุตติกภัยแท้ อมาตาปุตติกภัย ๓ คืออะไร คือ ชราภัย พยาธิภัย มรณภัย

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุตรแก่ มารดาก็ขอร้องไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าจะแก่เอง ขอข้าพเจ้าอย่าแก่เลย หรือเมื่อมารดาแก่ บุตรก็ขอร้องไม่ได้ว่า ข้าพเจ้าจะแก่เอง ขอมารดาข้าพเจ้าอย่าแก่เลย เมื่อบุตรเจ็บ มารดาก็ขอร้องไม่ได้ว่า ข้า ฯ จะเจ็บเอง ขอบุตรข้า ฯ อย่าเจ็บเลย หรือเมื่อมารดาเจ็บ บุตรก็ขอร้องว่า ข้า ฯ จะเจ็บเอง ขอมารดาข้า ฯ อย่าเจ็บเลย เมื่อบุตรตาย มารดาก็ขอร้องไม่ได้ว่า ข้า ฯ จะตายเอง ขอบุตรข้า ฯ อย่าตายเลย หรือเมื่อมารดาตาย บุตรก็ขอร้องไม่ได้ว่า ข้า ฯ จะตาย ขอมารดาข้า ฯ อย่าตายเลย ภัย ๓ นี้แล

ภิกษุทั้งหลาย เป็นอมาตาปุตติกภัย แท้ มีอยู่ ภิกษุทั้งหลาย มรรคา มีอยู่ปฏิปทา เป็นไปเพื่อละเสีย เพื่อล่วงเสียซึ่งสมาปุตติกภัย ๓ นี้ และอมาตาปุตติกภัย ๓ นี้ด้วย ก็มรรคาไหน ปฏิปทาอะไร เป็นไปเพื่อละเสีย เพื่อล่วงเสียซึ่งสมาตาปุตติกภัย ๓ นี้ และอมาตาปุตติกภัย ๓ นี้ด้วย อริยมรรคมีองค์ ๘ นี้เท่านั้น คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นี้แล ภิกษุทั้งหลาย มรรคา นี้ปฏิปทา เป็นไปเพื่อละเสีย เพื่อล่วงเสียซึ่งสมาตาปุตติกภัย ๓ นี้ และ อมาตาปุตติกภัย ๓ นี้ด้วย.

จบภยสูตรที่ ๒

อรรถกถาภยสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในภยสูตรที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-

ภัยที่มารดาและบุตรช่วยกันไม่ได้

บทว่า อมาตาปุตฺติกานิ ความว่า มารดาและบุตร ชื่อว่า มาตาปุตตะ มารดาและบุตร ชื่อว่า ไม่มีในภัยเหล่านี้ โดยสามารถจะป้องกันซึ่งกันและกันได้ เหตุนั้น ภัยเหล่านี้ จึงชื่อว่า ไม่มีมารดาและบุตร

บทว่า ยํ คือในสมัยใด

บทว่า ตตฺถ มาตาปิ ปุตฺตํ น ปฏิลภติ ความว่า เมื่ออัคคีภัยนั้นเกิดขึ้นแล้ว แม้มารดาก็ไม่ได้เห็นบุตรแม้บุตรก็ไม่ได้เห็นมารดา

บทว่า ภยํ โหติ ความว่า มีภัยคือความหวาดสะดุ้งแห่งจิต

บทว่า อฏวีสงฺโกโป ได้แก่ ความกำเริบของโจรผู้ซุ่มซ่อนอยู่ในดง ก็ในบทว่า อฏวี นี้ พึงทราบว่า ได้แก่โจรที่ซุ่มซ่อนอยู่ในดง อธิบายว่า เมื่อใดโจรเหล่านั้นออกจากดงลงสู่ชนบท เที่ยวปล้นทำลาย คามนิคม และราชธานีเมื่อนั้น ชื่อว่า มีความกำเริบของโจรอยู่ในดง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึง ความกำเริบของโจรที่อยู่ในดงนั้น จึงตรัสคำนี้ว่า อฏวีสงฺโกโป ในบทว่า จกฺกสมารุฬฺหา นี้ มีอธิบายว่า หมุนไปทั้งจักร คืออิริยาบถ ทั้งจักรคือยาน เพราะว่าเมื่อภัยมาถึง คนเหล่าใดมียาน คนเหล่านั้น ก็ยกสิ่งของบริขารของตนขึ้นยานเหล่านั้น แล้วขับหนีไป คนเหล่าใดไม่มี คนเหล่านั้นก็ใช้หาบ หรือใช้ศีรษะเทินหนีไปจนได้ คนเหล่านั้นชื่อว่า ขึ้นล้อ

บทว่า ปริยายนฺติ ได้แก่ ไปข้างโน้น ข้างนี้

บทว่า กทาจิ คือในกาลบางครั้งนั่นแล.

บทว่า กรหจิ เป็นไวพจน์ของบทว่า กทาจิ นั่นเอง.

บทว่า มาตาปิ ปุตฺตํ ปฏิลภติ ความว่า (แม้มารดา) ย่อมได้เห็นบุตรผู้มาอยู่ ผู้ไปอยู่ หรือผู้หลบแอบอยู่ในที่แห่งหนึ่ง

บทว่า อุทกวาหโก คือ เต็มแม่น้ำ

บทว่า มาตาปิ ปุตฺตํ ปฏิลภติ ความว่า บุตรลอยน้ำติดอยู่บนทุ่นหรือแพ ในภาชนะดินหรือบนท่อนไม้ มารดาก็ได้เห็น ก็หรือว่ามารดาได้เห็นบุตรว่ายข้ามไปโดยปลอดภัยแล้ว ยืนอยู่ในหมู่บ้านหรือในป่า

ภัย ๓ อย่าง

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงภัยที่มารดาและบุตรไม่ได้พบกัน ที่ทรงประสงค์เอาอันมาโดยอ้อมอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงภัยโดยตรงจึงตรัสคำว่า ติณีมานิ เป็นต้น บรรดาบทเหล่านั้น

บทว่า ชราภยํ ได้แก่ ภัยที่อาศัยชราเกิดขึ้น แม้ในภัย ๒ อย่างนอกนี้ ก็มีนัย นี้แล สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า ภัย สิ่งที่น่ากลัว ความหวาดเสียว ขนชูชัน ความสะดุ้งกลัวแห่งจิตเกิดขึ้น เพราะอาศัยชรา. . . เพราะอาศัยพยาธิ ภัย สิ่งที่น่ากลัว ความหวาดเสียว ขนชูชัน ความสะดุ้งกลัวแห่งจิตเกิดขึ้นเพราะอาศัยมรณะ

บทที่เหลือในทุกแห่งง่ายทั้งนั้นแล

จบอรรถกถาภยสูตรที่ ๒



  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 9 มี.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornpaon
วันที่ 9 มี.ค. 2552

ขอถวายความนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ชาติ

ชรา

พยาธิ

มรณะ

วนเวียนว่ายอยู่ในโอฆะไม่รู้จบสิ้น หากไม่ได้พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงแสดงให้เห็นแล้ว ภัยเหล่านี้คงเป็นภัยใหญ่ที่ไม่มีทางรู้ไม่มีทางมองเห็น และแม้จะฟังพระธรรมอยู่ แต่ก็รู้ตัวดีว่ายังเป็นคนมืดบอด ยังเป็นผู้ประมาทในภัยอยู่เนืองนิจ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
คุณ
วันที่ 10 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Jans
วันที่ 12 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
สิริพรรณ
วันที่ 14 พ.ย. 2563

กราบนอบน้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

ภัย คือการเกิดดับของสังขารทั้งปวง

ถ้าไม่ฟังพระธรรมเรื่องสภาพธรรมที่ทรงแสดงความละเอียดของความจริงที่ทรงตรัสรู้ที่ ลึกซึ้ง รู้ได้ยาก ก็ไม่ทราบเลยว่า เห็นขณะนี้ก็มีภัย เป็นภัย ถ้าเห็นไ่ม่ดับ ได้ยินก็เกิดขึ้นไม่ได้ โลกทั้ง ๖ ล้วนเป็นภัย

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง

และกราบขอบพระคุณอาจารย์วิทยากร และเจ้าหน้าที่มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
chatchai.k
วันที่ 14 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Jans
วันที่ 10 พ.ค. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ 

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ