ไม่สบายใจเป็นผลของกรรมใช่หรือไม่ ..
.. เกิดจากอุปนิสสยปัจจัยอย่างเดียวหรือมีปัจจัยอื่นๆ
กุศลจิต อกุศลจิต ที่เกิดขึ้นแล้วเรียกว่าผลของกรรมหรือไม่.....?
ความเข้าใจที่ว่า ผลของกรรมที่ครบองค์หรือที่เรียกว่า กรรมบถ ให้ผลเป็นวิบาก (วิบากจิต) เรียกว่าจิตนั้นเกิดขึ้นเพราะกัมมปัจจัย....หากผลของกรรมไม่ครบองค์จะเป็นอุปนิสสยปัจจัยสะสมเป็นอนุสัยกิเลส ทำให้เกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิต ..เช่นคนที่มักคิดวิตกกังวลเรียกว่าเป็นผลของกรรม (อกุศลจิต) ที่เกิดจากอุปนิสสยปัจจัยความเข้าใจดังกล่าวถูก..ผิดหรือไม่ครบถ้วนอย่างไรโปรด..ให้ความเห็นด้วยคะ
การให้ผลของกรรม 5 ทวาร คือทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ที่ดี
หรือไม่ดี (เป็นผลของกรรม) ส่วนทางใจไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกิเลสที่เราสะสม
จนเป็นอุปนิสัย เช่น เป็นคนคิดมาก ขี้น้อยใจ วิตกกังวล ทำให้ไม่สบายใจ และความ
ไม่สบายใจในครั้งแรก ก็เป็นปัจจัยให้ไม่สบายใจอีก ถ้าสะสมอกุศลไว้มากๆ เมื่อมีกำลัง
ก็อาจจะทำให้ล่วงอกุศลกรรมบถ ซึ่งจะเป็นเหตุให้ได้รับผลของกรรมในอนาคตได้ค่ะ
ขออนุโมทนาและขอบพระคุณทั้งคำถามและคำตอบค่ะ
เมื่อก่อนนั้นเคยเข้าใจผิดว่า ความทุกข์ใจต่างๆ เป็นผล (วิบาก)
ตอนนี้ทั้งๆ ที่กำลังศึกษาอยู่ และเข้าใจแล้วว่า ความทุกข์ใจ เป็นเหตุ ไม่ใช่ผล
แต่หลายๆ ครั้งก็ยังลืม มักเผลอนึกเอาว่าเป็น ผล อยู่บ่อยๆ เหมือนกัน
ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม จะไม่ทราบเลยว่าการได้ฟังเรื่อง ชาติของจิต เพื่อทราบกิจของจิตนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญจริงๆ เมื่อทราบว่าจิตชาติวิบากเป็นผล ที่ต้องให้ผลแน่นอนเมื่อพร้อมด้วยปัจจัย.
แต่ จิตชาติกุศล -อกุศล...เป็นเหตุ ที่จะทำให้เกิดผลต่อไปเมื่อทราบความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเรื่องจิตเช่นนี้ประโยชน์ส่วนหนึ่ง คือ ทราบว่า ขณะจิตที่เป็นเหตุนั้นเกิดที่ชวนจิตที่สามารถที่จะสะสมได้ ทั้งกุศลธรรม และ อกุศลธรรม.
และเหตุนี้ การเห็นโทษของ ธรรมฝ่ายอกุศลก็เป็นปัจจัยให้เกิดการสะสม ธรรมฝ่ายกุศลมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นขั้น ทาน ศีล ภาวนา.
และถ้าไม่หลงลืมสติ......กุศลขั้นทาน ศีล ก็จะประกอบด้วยความเห็นถูกคือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ในขณะทำกุศลนั้น ว่า ไม่ใช่เราทำ แต่เป็นธรรมะ ที่กำลังทำกิจของตนๆ ในขณะนั้นๆ .
และกุศลสูงสุด คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาหมายถึง มรรคมีองค์ ๘ คือ ทางพ้นทุกข์ ซึ่งประกอบด้วยปัญญาด้วยความเห็นถูก.
ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า หนทางนี้มีจริง...เข้าถึงได้จริง ด้วยการอบรมเจริญปัญญาซึ่งเริ่มต้นด้วยการฟังพระสัทธรรม คือ ปริยัติ เป็นอันดับแรกและการปฏิบัติ ที่ขาดปริยัตินั้น เป็นไปไม่ได้เลย.
ขออนุโมทนาค่ะ.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กรรมใดที่เป็นเพียงกุศลจิตและอกุศลจิตและไม่ให้ผลในขณะต่อไป ไม่ให้ผลในปวัตติ-
กาลด้วย กุศลจิตและอกุศลจิตนั้นเป็นกัมมปัจจัยที่เป็นสหชาตกัมมปัจจัย แต่ไม่เป็น
นานักขนิกกัมมปัจจัย แต่ก็ยังสะสมเป็นอุปนิสัยด้วยครับ แต่หากกรรมใดให้ผล กรรมนั้นเป็นนานักขนิกกัมมปัจจัยและเป็นสหชาตกัมมปัจจัยด้วยและยังเป็นอุปนิสัยสะสมไปอีกด้วยครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์