เวสารัชชญาณ
ขอช่วยอธิบายข้อความต่อไปนี้ด้วยค่ะ
1. ท่านปฏิญญาว่าเป็นสัมมาสัมพุทธะ ธรรมเหล่านี้ท่านยังไม่รู้แล้ว
2. ท่านปฏิญญาว่าเป็นพระขีณาสพ อาสวะเหล่านี้ของท่านยังไม่สิ้นแล้ว
3. ท่านกล่าวธรรมเหล่าใดว่าทำอันตราย ธรรมเหล่านั้นไม่อาจทำอันตรายแก่ผู้ส้อง เสพได้จริง
4. ท่านแสดงธรรมเพื่อประโยชน์อย่างใด ประโยชน์อย่างนั้นไม่เป็นทางนำผู้ทำตาม ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบได้จริง
เบื้องต้นควรทราบก่อนว่า ทั้ง ๔ ข้อนี้เป็นพระญาณของพระพุทธเจ้า ญาณที่ทำให้พระองค์กล้าหาญ และ ไม่มีใครๆ ในโลกสามารถจะมาทักท้วงในฐานะทั้ง ๔ นี้ได้ เพราะพระองค์เป็นพระพุทธเจ้าไม่มีสิ่งใดเลยที่พระองค์ไม่ทรงรู้ ดังนั้นข้อที่ ๑ จึงเป็นไปไม่ได้ แม้ข้อที่ ๒ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะพระองค์สิ้นอาสวะกิเลสทั้งหมดแล้ว แม้ข้อที่ ๓ ก็เช่นกันพระธรรมที่ทรงแสดงเป็นคำสัจคำจริงทั้งสิ้น ผู้ใดมีธรรมอันเป็นอันตรายแก่มรรคผล ธรรมนั้นย่อมเป็นอันตรายจริงแท้แน่นอน และข้อที่๔ ก็เช่นกัน สาวกทั้งหลายเป็นพยานคำสอนว่า พระธรรมที่ทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้นทำให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบได้จริงๆ
ถ้าต้องการรายละเอียดมากว่านี้ขอเชิญอ่านในอรรถกถาเวสารัชชสูตร เล่มที่ ๓๕ประมาณหน้าที่ ๒๐ เป็นต้นไปครับ
ทั้ง ๔ ข้อนี้เป็นพระญาณของพระพุทธเจ้า
1. ท่านตรัสรู้แล้ว ไม่มีใครพูดได้ว่าธรรมะบางอย่างพระองค์ไม่รู้
2. ท่านละอาสวะกิเลสหมด ไม่มีใครพูดได้ว่าอาสวะกิเลสบางอย่างยังละไม่ได้
3. พระพุทธเจ้าตรัส เช่น คนทีฆ่าบิดา มารดา ตายไปต้องตกนรก ไม่มีใครพูดได้ว่า คนที่ฆ่าบิดา มารดา ตายไปไม่ตกนรก ฯลฯ
4. ทรงแสดงธรรมะ คือผู้ที่เจริญอริยมรรคมีองค์ 8 ถูกต้อง ทำให้ออกจากวัฏฏะได้ จริง ไม่มีใครสามารถพูดว่าไม่ออกจากวัฏฏะค่ะ
สาธุ
ท่านผู้ใดครอบงำเสียซึ่งวาทะของสมณพราหมณ์ทั้งสิ้น มีความเอ็นดูในสรรพสัตว์ ประกาศธรรมจักร สัตว์ทั้งหลายย่อมกราบไหว้ท่านผู้เช่นนั้น ผู้ประเสริฐแห่งเทวดาและมนุษย์ ผู้ถึงฝั่งแห่งภพ.
ผมขอเสนอลิ้งค์ที่อ.ประเชิญอ้างถึงครับ
[เล่มที่ 35] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้า 19