วิถีจิตแรกทางใจ...และการดำรงอยู่ในสังสารวัฏฏ์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตเกิดดับดำรงภพชาติ "วิถีแรกทางใจ" ไม่ใช่ขณะอื่นเลยค่ะ (คือ) การสะสมความพอใจ ในความเกิด เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทำให้มี จิต ที่นึกยินดีในภพชาตินั้น ในความเป็นอย่างนั้น เริ่มรู้สึกว่ามีชีวิต ... จากขณะที่เป็นภวังคจิต คือ ขณะที่ไม่มีการรู้อารมณ์อะไรเลย ทั้งสิ้นจนถึงขณะที่เป็น มโนทวารวิถีจิต ... (ใช้คำว่า "วิถีจิต" เมื่อไร ... ก็หมายความว่า ไม่ใช่ "ภวังคจิต"และเมื่อเป็นวิถีจิต ต้องมีการรู้อารมณ์ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทาง)
ถ้าเกิดมาแล้ว มีแต่ภวังคจิตก็ไม่เดือดร้อนเลย ใช่ไหม ดีไหม แล้วเป็นไปได้หรือเปล่า เป็นไปไม่ได้เลย ถ้าเป็นภวังคจิตๆ ๆ ไปเรื่อยๆ แล้วก็เป็นวิถีจิต เป็นกุศลจิต ดีกว่าไหม เพราะว่ายังไงๆ ก็ต้องมีการเห็น การได้ยินฯ ต้องมีการรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด เมื่อมีกิเลสที่ได้สะสมมา จะไม่ให้เกิดได้หรือ และเมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ แล้วไม่รู้สิ่งนั้น
นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริง ของธรรมะซึ่งเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ตอนที่กำลังหลับสนิท ก็ไม่มีอกุศลจิตที่จะเป็นไปในโลภะ โทสะ โมหะ ใดๆ ทั้งสิ้นแต่เมื่อตื่นแล้วเห็น ก็แล้วแต่ว่าใครสามารถจะสะสมกุศลจิต แทนที่จะเป็นอกุศลจิต เมื่อเกิดการเห็นแล้วเป็นกุศลได้ เป็นไปได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่มีผู้ใด ที่ดับกิเลสได้
นี่ก็แสดงให้เห็นถึงความต่าง
ที่แต่ละคนต้องรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ไม่ใช่การหวัง เลื่อนๆ ลอยๆ ลมๆ แล้งๆ ว่าจะสามารถหมดกิเลสได้ โดยที่ไม่รู้อะไรเลย หรือ ไม่เข้าใจอะไรเลย ไม่รู้ แม้ลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังเป็นธรรมะ ว่า ... ไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น การฟัง ... เป็นเรื่องที่ตรง เป็นเรื่องที่ละเอียดเป็นเรื่องละความต้องการ และ ละความติดข้องเพราะรู้ว่า สะสมอกุศลมามาก ใช่หรือเปล่า วันนี้ ตื่นมาแล้ว..เป็นอกุศลเท่าไร ได้ยินแล้ว เป็นอกุศลเท่าไร กระทบสัมผัสแล้วเป็นอกุศลเท่าไร ก็ไม่มีใครเคยคิด ... ไม่มีใครเคยรู้ แต่ให้รู้ว่า ความจริงคืออย่างนี้
"เหตุปัจจัย"
ในการที่จะมีโอกาสได้ยิน ได้ฟังและได้เข้าใจ"ธรรมะ" นั้นถ้าไม่มีการสะสม เป็นปัจจัยมาในอดีต ก็ไม่มีปัจจัย ที่จะทำให้มีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้สนใจ ด้วยการเห็นประโยชน์ ว่า ควร หรือ ไม่ควร ที่จะรู้ความจริง ความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ (ให้รู้ได้จริงๆ)
เพราะความคิดของคนแต่ละคนนั้น ก็มีความหลากหลายมากเช่น คิดว่า รู้ไปทำไม รู้แล้วได้อะไร คือคิดแต่เรื่องได้ ตั้งแต่ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข ฯ ... แล้วก็คิดจะทำ ในขณะที่สามารถรู้สภาพธรรมตามความจริงได้ แต่ก็ไม่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริงเลยว่า ลาภ มาจากไหน ยศ มาจากไหน สรรเสริญ และ สุข มาจากไหน ผลที่เป็นกุศล ไม่ได้มาจาก "เหตุที่เป็นอกุศล" แต่จะต้องมาจาก ... "เหตุที่เป็นกุศล" เท่านั้น
เพราะฉะนั้น แม้จะหวัง หรือต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตาม ซึ่งการที่จะได้ หรือไม่ได้ ต้องแล้วแต่เหตุ แต่เมื่อไม่รู้เหตุ ที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ชีวิต จึงมีทั้งสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ... ฯลฯ โดยที่ไม่เคยรู้เลย ว่า ไม่มีใครสามารถบันดาลได้ ตามที่ต้องการ เพราะทุกอย่างเป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย
นี่คือชีวิตค่ะ
ความรู้ คือ ความรู้ ... ความไม่รู้ คือ ความไม่รู้และใคร ก็บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ละชีวิต หลังจากปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว คือ ปวัตติ เมื่อปฏิสนธิจิต ดับไป ... ก็จะต้องเป็นไป อย่างนั้น ไม่มีใครหยุดยั้งสภาพธรรมที่เป็นไปอย่างนั้นได้เลย
จิต ... เป็นสภาพธรรม ที่น่าอัศจรรย์ เป็นธาตุ ที่เป็น นามธรรม ที่อาศัยปัจจัย เกิดขึ้น ทำหน้าที่ แล้วก็ดับไปแต่หน้าที่หนึ่งของจิตที่แน่นอน คือเป็นประธาน ในการรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่กำลังปรากฏ
ลักษณะของจิต
จิต ทุกๆ ประเภททุกๆ ขณะ ... เป็น อนันตรปัจจัย (เมื่อจิตใดๆ เกิดแล้ว) ทันที ที่จิตนั้นๆ ดับ ก็เป็นอนันตรปัจจัย คือ ... ทันที ที่จิตนั้นดับ ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ตราบใดที่จิตขณะนี้ ยังไม่ปราศไป ยังไม่หมดสิ้นไป จิตขณะต่อไป จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค จึงทรงแสดง "ปัจจัยของสภาพธรรม" แม้แต่จิตหนึ่งขณะ ... ก็มีปัจจัยหลายอย่างและ เป็นปัจจัยหลายอย่าง จิต ที่จะไม่มีปัจจัยที่จะทำให้จิตต่อไปเกิดขึ้น เมื่อดับไปนั้น ... คือ จุติจิต ของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ก็ยังต้องอยู่ต่อไปในสังสารวัฏฏ์ ซึ่ง แล้วแต่ อวิชชา และ ปัญญา
พื้นฐานอภิธรรมวันอาทิตย์ ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ณ อาคารมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ขออนุโมทนา