เรารู้ความคิดหรือความรู้สึกของคนอื่นได้จริงๆหรือไม่

 
Sam
วันที่  16 มี.ค. 2552
หมายเลข  11631
อ่าน  5,259

จากการศึกษาเข้าใจว่าทางตา หู จมูก ลิ้น และกายนั้นมีรูปธรรมเป็นอารมณ์เท่านั้น

ไม่มีนามธรรมเป็นอารมณ์เลย แต่ในชีวิตประจำวันนั้นเรามักคิดว่าได้พบกับผู้คนมาก

มาย และยังได้แลกเปลียนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่นได้

ว่าคนนี้กำลังโกรธ กำลังเสียใจ กำลังอิจฉา หรือท่านผู้นั้นเปี่ยมไปด้วยเมตตา ท่าน

ผู้นี้ทรงปัญญา

คำถามก็คือ ในเมื่อเราไม่มีอภิญญาจิตที่รู้วาระจิตของผู้อื่นได้ แล้วจะรู้ความคิด

หรือความรู้สึก (ที่เป็นนามธรรม) ของคนอื่นได้จริงๆ หรือไม่ หรือทั้งหมดเป็นเพียง

ความคิดของเราที่ไม่มีส่วนแห่งความจริงอยู่เลย


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 17 มี.ค. 2552
ตามหลักพระธรรมแสดงว่าบุคคลที่ไม่มีอภิญญาจิตไม่สามารถรู้วาระจิตของผู้อื่นได้ แต่คนทั่วไปเวลาเห็นคนกำลังโกรธ กำลังเสียใจ หรือมีเมตตาเป็นต้นนั้น ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดนึกของเราที่เกิดจากความทรงจำว่า กิริยาอาการอย่างนี้ เรียกว่าคนโกรธ กิริยาอาการอย่างนี้เรียกว่าคนมีทุกข์ กิริยาอาการอย่างนี้ เป็นคนมีเมตตา มีกรุณา ดังนั้นจึงเป็นการรู้เรื่องราวที่จำไว้ ไม่ใช่การรู้ลักษณะนามธรรมจริงๆ ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 17 มี.ค. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
opanayigo
วันที่ 17 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sam
วันที่ 18 มี.ค. 2552

ขอขอบคุณและอนุโมทนาคำตอบของอาจารย์ prachern.s ครับ

เมื่อได้อ่านคำตอบแล้ว ทำให้ผมรู้สึกอรรศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่ได้ทราบว่า เรารู้โลก

ภายนอก (ทางปัญจทวาร) ได้เฉพาะรูปธรรมเท่านั้น แต่การรับรู้เหล่านั้นกลับเป็นปัจจัย

ให้เกิดอกุศลจิตได้ต่างๆ นาๆ ตามประสาของปุถุชน หรืออาจทำให้เกิดกุศลจิตขั้น

โลกุตรก็ได้หากได้ยินได้ฟังเสียงแห่งพระธรรม และมีการพิจารณาประพฤติปฏิบัติตาม

นอกจากนี้ ความเข้าใจที่มั่นคงว่า เรารับรู้โลกภายนอกได้เฉพาะรูปธรรม ซึ่งเป็น

สภาพที่ไม่รู้อะไร ไม่มีเจตนาใดๆ เจือปนอยู่ ทำให้เข้าใจว่าเมื่อมีการรับรู้รูปธรรมทาง

ตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกายแล้ว เกิดกุศลจิตหรืออกุศลจิตตามมา ก็เป็น

เพราะการสะสมของแต่ละบุคคล จะไปโทษผู้อื่นไม่ได้เลย

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
WS202398
วันที่ 18 มี.ค. 2552

สาธุครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
natnicha
วันที่ 18 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 18 มี.ค. 2552
เชิญอ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ .. สัญญา เป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติได้อย่างไร?
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 18 มี.ค. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต เล่ม ๕ - หน้าที่ 171 สาริปุตตสูตร

ว่าด้วยภิกษุพึงเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของผู้อื่นไซร้ เมื่อเป็นอย่างนั้น ภิกษุนั้นพึงศึกษาว่าเราจักเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้ง-หลาย ท่านทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล.

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pornpaon
วันที่ 20 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
พุทธรักษา
วันที่ 22 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ