มโนวิญญาณจิต กับ วิบากจิต
มโนวิญญาณจิต เป็นวิบากจิตได้หรือไม่
เหตุใดถึงได้หรือไม่ได้
มโนวิญญาณเป็นกุศลจิตก็มี เป็นอกุศลจิตก็มี เป็นวิบากจิตก็มี
จิตทั้งหมด เว้นจากทวิปัญจวิญญาณ และมโนธาตุแล้ว เป็นมโนวิญญาณทั้งหมด
ทวิปัญจวิญญาณจิต 10 คือ จิตอะไรครับ
10 ดวงนี้เป็นวิบากล้วนใช่หรือไม่ครับ
ทวิปัญจวิญญาณ เป็นจิตที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ทางทวารทั้ง ๕ คือ ทางตา ๒ ทางหู ๒ ทางจมูก ๒ ทางลิ้น ๒ ทางกาย ๒ รวมเป็น ๑๐ ดวง ทั้งหมดเป็นวิบากจิต ..
ขอเชิญคลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มที่ ทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐
จิตหมายถึง ธาตุรู้ อาการรู้ สภาพรู้ มโนวิญญาณเป็นจิตที่สามารถรู้ได้ทางใจ เช่น
โลภะเกิดทางตาก็ได้ เกิดทางใจก็ได้ อย่างเราเห็นสีสวยครั้งแรกก็พอใจ หลังจากนั้น
คิดก็ชอบอีก หรือฝ่ายกุศล เช่น เห็นพระพุทธรูปก็ระลึกถึงพระพุทธคุณ จิตก็เป็นกุศลค่ะ
ทางธัมมารมณ์นั้น ธัมมารมณ์มาจากใหน ธัมมารมณ์นั้นๆ เหตุใดจึงไม่เป็นวิบากบ้าง
ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรม เป็นนามธรรมที่เกิดจากกรรมเป็นปัจจัย โดยอาศัยปสาทต่างๆ มีจักขุปสาทเป็นต้นเป็นที่เกิด เมื่อมีการกระทบกันของวัณณรูปกับจักขุปสาท ถ้ากรรมๆ หนึ่งจะเป็นฝ่ายกุศลหรืออกุศลก็ตาม เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิด จิตเห็นก็ต้องเกิดตามลำดับของจิตในวาระของวิถีจิตขณะนั้นๆ ธัมมารมณ์มีมาก ได้แก่ ปสาทรูป ๕ สุขุมรูป ๑๖ จิต เจตสิก นิพพาน บัญญัติแต่ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ หลังเห็น หลังได้ยิน ฯลฯ ...ความคิดที่เกิดขึ้นทางใจ ก็มีความเป็นไปเนื่องกับสิ่งที่เห็น เสียงที่ได้ยิน ฯลฯ โดยตลอด วิถีจิตที่เกิดขึ้น ก็รู้สิ่งที่ปรากฏจากทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ทีละทาง ทีละทวาร ...สืบต่อสู่ใจทางเสมอ ธัมมารมณ์ที่เป็นวิบากจิตก็มี แต่ที่จะรู้จริงๆ ก็ต้องในขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดระลึกรู้ในสภาพธรรมที่ปรากฏโดยไม่เลือกว่าจะเป็นทางใด ทวารไหน
ขอกรุณาช่วยขยายว่า ธัมมารมณ์ที่เป็นวิบากจิตก็มีนั้น ขอให้ยกตัวอย่างด้วยครับ คือสับสนใน//www.dhammahome.com/webboard/topic/11600 กล่าวว่า
การให้ผลของกรรม 5 ทวาร คือทุกขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส ที่ดี
หรือไม่ดี (เป็นผลของกรรม) ส่วนทางใจไม่ใช่ผลของกรรม แต่เป็นกิเลสที่เราสะสม
จนเป็นอุปนิสัย
วิถีจิตทางใจสามารถรู้อารมณ์ได้หลากหลายมาก ธัมมารมณ์ที่เป็นวิบากจิตที่วิถีจิตทางใจสามารถจะรู้ได้ก็มี เช่น ในขณะที่สติสัมปชัญญะเกิดขึ้นระลึกรู้ได้ว่า "เห็น"เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เรา ขณะนั้นก็มีวิบากจิตเป็นอารมณ์ ซึ่งตรงนี้ไม่ได้กล่าวถึงการรับผลของกรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ครับ คิดว่าอาจจะสับสนตรงจุดนี้ ที่จริงตรงจุดนี้ กำลังกล่าวถึงการรู้อารมณ์ทางมโนทวาร ที่สามารถรู้ธัมมารมณ์ที่เป็นวิบากจิตได้ครับ สำหรับข้อความที่ยกมาข้างต้นนั้น ถูกต้องแล้วครับ แต่ว่าต้องแยกกันระหว่างการรับผลของกรรมทางทวาร ๕ ไว้ส่วนหนึ่ง และแยก การรู้ธัมมารมณ์ทางใจ ไว้อีกส่วนหนึ่ง เพราะเป็นคนละทวารกัน ไม่ปนกันครับ ทำไมทางใจจึงไม่รับผลของกรรม เหมือนทางปัญจทวาร? อันที่จริง ไม่ใช่สิ่งที่น่าสงสัยเลย ถ้าเราได้เข้าใจพระธรรมเพิ่มขึ้น ปัญญาก็จะเห็นถูกว่า เป็นจริงตามที่ทรงแสดงทุกประการ ไม่ผิดเพี้ยนแต่ประการใด พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้เช่นไร พระองค์ก็ทรงแสดงพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ไว้แล้วเช่นนั้น เป็นพระธรรมที่เมื่อปัญญาค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็จะสามารถบรรเทาความสงสัยลงเสียได้ แต่ก็เป็นพระธรรมที่ยาก ลึกซึ้ง และทนต่อการพิสูจน์จริงๆ ต้องอาศัยกาลอันยาวนาน ที่จะศึกษาพระธรรม เพื่ออบรมความเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงต่อไปครับ