ปฏิสนธิจิต กับ การเจริญปัญญา
อเหตุกบุคคล ปฏิสนธิจิตโดยไม่มี โสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย
ทวิเหตุกบุคคล ปฏิสนธิจิตโดยมี อโลภะและอโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย
ติเหตุกบุคคล ปฏิสนธิจิตโดยมี โสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย
จริงหรือไม่ที่มีเฉพาะ ติเหตุกบุคคล ที่เจริญปัญญาได้?
อเหตุกบุคคล และ ทวิเหตุกบุคคล ควรทำอย่างไร
ภวังคจิตที่ที่ปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยมีลักษณะอย่างไร มีสติเจตสิกเกิดร่วมด้วยหรือไม่?
ในหนังสือปรมัตถธรรมสังเขป หน้า 256 กล่าวถึงปฏิสนธิจิตที่เป็นกุศลวิบาก เกิด
กับ อโลภและอโทสเจตสิกไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย เป็นทวิเหตุกบุคคล ระบุว่า
บุคคลนั้นจึงไม่สามารถบรรลุฌานหรือโลกุตรธรรมในชาตินั้น ถ้าอย่างนั้น
อเหตุกบุคคล ปฏิสนธิจิตโดยไม่มี โสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ทวิเหตุกบุคคล
ปฏิสนธิจิตโดยมี อโลภะและอโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วยจะทำสิ่งใดได้บ้าง ขั้นใด เพื่อ
ผลอะไรในอนาคต
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
จากความเห็นที่ 2 แม้อเหตุกบุคคลและทวิเหตุกบุคคลจะไม่สามารถบรรลุในชาตินั้นได้ แต่ก็สามารถ
อบรมปัญญาได้ อันเป็นเหตุจจัยให้เกิดเป็นติเหตุกบุคคล ประกอบด้วยปัญญาและ
สามารถบรรลุได้ในอนาคตข้างหน้าครับ ดังนั้นการฟังพระธรรมจึงเป็นเหตุสำคัญ อัน
เป็นอุปนิสัยให้เป็นผู้ประกอบด้วยปัญญาเมื่อเกิดในชาติต่อๆ ไปครับ แม้พระโพธิสัตว์เองก็ไมได้เกิดมาด้วยติเหตุกบุคคล (ประกอบด้วยปัญญา) ทุกครั้ง
บางชาติท่านก็เป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ท่านก็เจริญกุศล อบรมปัญญาได้แม้จะไม่บรรลุก็ตามแต่เป็นอุปนิสัยในอนาคตให้ได้บรรลุธรรม ทำขณะนี้ให้ดีที่สุดคืออบรมปัญญา
ด้วยการศึกษาพระธรรม ขออนุโมทนาครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ.......เหตุให้เกิดปัญญา เหตุให้เกิดปัญญาและกำลังของปัญญา ! อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ไม่แน่นอน คนที่ปฏิสนธิเป็นทวิเหตุ ถ้าขณะที่ฟังธรรมด้วยความตั้งใจและเข้าใจ ขณะ
นั้นก็เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ส่วนคนที่ปฏิสนธิด้วยติเหตุมีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็
จริง แต่คนละขณะจิต เช่น ขณะที่ฟังธรรมก็ไม่ได้เป็นกุศลตลอดหรือฟังไม่เข้าใจ ขณะ
นั้นก็ไม่ประกอบด้วยปัญญา ส่วนคนที่จะรู้ลักษณะของภวังคจิต ต้องเป็นพระพุทธเจ้า
พระสารีบุตร ฯลฯ