ญาณเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งปวง [อรรถกถาสัพพัญญุตญาณอนาวรณญาณุทเทส]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 161
๗๒ - ๗๓. อรรถกถาสัพพัญญุตญาณอนาวรณญาณุทเทส ว่าด้วย สัพพัญญุตญาณอนาวรณญาณ พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สพฺพญฺญุตญาณํ อนาวรณญาณํ-ญาณเป็นเครื่องรู้ธรรมทั้งปวง ญาณอันไม่มีอะไรติดขัด นี้ ดังต่อ ไปนี้ พระพุทธะพระองค์ใด ทรงรู้ธรรมทั้งปวงมีประเภทแห่งคลองอันจะพึงแนะนำ ๕ ประการ ฉะนั้น พระพุทธะพระองค์นั้น ชื่อว่าสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวง, ความเป็นแห่งพระสัพพัญญู ชื่อว่าสัพพัญญุตา, ญาณคือพระสัพพัญญุตาญาณนั้น ควรกล่าวว่า สัพพัญญุ-ตาญาณ ท่านก็กล่าวเสียว่า สัพพัญญุตญาณ. จริงอยู่ ธรรมทั้งปวงต่างโดยเป็นสังขตธรรมเป็นต้น เป็นครรลองธรรมที่จะพึงแนะนำมี๕ อย่างเท่านั้น คือ สังขาร ๑, วิการ ๑, ลักขณะ ๑. นิพพาน ๑และ บัญญัติ ๑. คำว่า สพฺพญฺญู - รู้ธรรมทั้งปวง ความว่า สัพพัญญูมี ๕อย่างคือ ๑. กมสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงตามลำดับ, ๒. สกิงสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงในคราวเดียวกัน, ๓. สตตสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงติดต่อกันไป, ๔. สัตติสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงด้วยความสามารถ. ๕. ญาตสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงที่รู้แล้ว. กมสัพพัญญุตา ย่อมมีไม่ได้ เพราะกาลเป็นที่รู้ธรรมทั้งปวงไม่เกิดขึ้น ตามลำดับ, สกิงสัพพัญญุตา ก็มีไม่ได้ เพราะไม่มีการรับอารมณ์ทั้งปวงได้ในคราวเดียวกัน, สัตตสัพพัญญุตา ก็มีไม่ได้ เพราะความเกิดขึ้นแห่งจิตในอารมณ์ตามสมควรแก่จิต มีจักขุวิญญาณจิตเป็นต้น และเพราะไม่มีการประ-กอบในภวังคจิต, สัตติสัพพัญญุตา พึงมีได้ เพราะสามารถรู้ธรรมทั้งปวงโดยการแสวงหา, ญาตสัพพัญญุตา ก็พึงมีได้ เพราะธรรมทั้งปวงรู้แจ่มแจ้งแล้ว. ข้อว่า ความรู้ธรรมทั้งปวงไม่มีในสัตติสัพพัญญุตาแม้นั้นย่อมไม่ถูกต้อง. เพราะท่านกล่าวไว้ว่าอะไรๆ อันพระตถาคตเจ้านั้นไม่เห็นแล้วไม่ มีในโลกนี้ อนึ่ง อะไรๆ ที่ไม่รู้แจ้งและไม่ควรรู้ ก็ไม่มี, สิ่งใดที่ควรแนะนำมีอยู่ พระตถาคตเจ้า ได้รู้ธรรมทั้งหมดนั้นแล้ว เพราะเหตุนั้น พระตถา- คตเจ้าจึงชื่อว่า สมันตจักขุ. ฉะนั้น ญาตสัพพัญญุตาเท่านั้น ย่อมถูกต้อง. ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัพพัญญุตญาณนั่นแล ย่อมมีได้โดยกิจ โดยอสัมโมหะ โดยการสำเร็จแห่งเหตุ โดยเนื่องกับอาวัชชนะ ด้วยประการฉะนี้. อารมณ์เป็นเครื่องกั้นญาณนั้นไม่มี เป็นญาณที่เนื่องด้วยอาวัชชนะนั่นเอง ฉะนั้นญาณนั้นจึงชื่อว่า อนาวรณะ - ไม่มีการติดขัด, อนาวรณะ นั้นนั่นแหละ ท่านเรียกว่า อนาวรณญาณ ด้วยประการฉะนี้.