กายทิพย์
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 2
พระพุทธเจ้าข้า ก็แหละในเวลาที่ เทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดด้วยกัน
เป็นผู้นั่งประชุมกันที่สุธรรมาสภา ทิพยบริษัทใหญ่เป็นผู้นั่งแล้วล้อมรอบ และมหาราชทั้ง ๔ องค์ ก็เป็นผู้นั่งประจำทิศทั้ง ๔ แล้ว อาสนะนี้เป็นของพวกท่านเหล่านั้น
และอาสนะหลังเป็นของพวกเราพระพุทธเจ้าข้า พวกเทพเหล่าใด ประพฤติพรหมจรรย์
ในพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าถึงชั้นดาวดึงส์เมื่อไม่นาน เทพเหล่านั้น ย่อมรุ่งเรืองยิ่ง
เทพเหล่าอื่น ทั้งด้วยรัศมีทีเดียว ทั้งด้วยยศ เพราะเหตุนั้น จึงเล่ากันมาว่า พวก
เทพชั้นดาวดึงส์จึงชื่นใจ บันเทิง เกิดปิติโสมนัสว่า โอหนอ ผู้เจริญ กายทิพย์ย่อม
บริบูรณ์กายอสูรย่อมเสื่อม
พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 206
คำว่า กายทิพย์ คือ อัตภาพเป็นทิพย์. คำว่า ละอายุ ที่ไม่ใช่เป็นของ
มนุษย์คือ ทิ้งอายุทิพย์. คำว่า จะไม่หลงเข้าครรภ์ คือ เป็นผู้ไม่หลง เพราะมีคติ
เที่ยงแท้ จะเข้าถึงครรภ์ในตระกูลกษัตริย์เป็นต้น ที่ใจของข้าพระพุทธเจ้าจะรื่นรมย์
นั้นเท่านั้น. ท้าวสักกะทรงแสดงความข้อนี้ว่า ในเทวดาและในมนุษย์เจ็ดครั้ง.
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 333
ส่วนการถึงสรณะที่เป็นโลกิยะย่อมมีภพสมบัติและโภคสมบัติเป็นผล เหมือนกัน. สมจริงดังพระดำรัสที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดังนี้ว่า บุคคลที่ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะจักไม่ไปสู่อบาย- ภูมิ ครั้นละร่างกายที่เป็นมนุษย์แล้ว จักยังกายทิพย์ ให้บริบูรณ์ (เกิดในหมู่เทพ) .
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 466
ภิกษุ ๗ รูปพ้นแล้ว สิ้นราคะโทสะ แล้ว ข้ามกิเลสที่ซ่านไปในโลก เข้าถึง สุทธาวาสพรหมชั้นอวิหา คือ คน ๓ คน ได้แก่ อุปกะ ปลคัณฑะ ปุกกุสาติ ๔ คนคือ ภัททิยะ ขัณฑเทวะ พาหุทัตติ และปิงคิยะ ทั้ง ๗ คนนั้น ละกายมนุษย์ แล้ว เข้าถึงกายทิพย์.