สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ย่อมเป็นสิ่งที่ได้เคยกระทำมาแล้วในอดีต
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ สำหรับแต่ละท่านย่อมเป็นสิ่งที่ได้เคยกระทำมาแล้วในอดีต แต่ละท่านสะสมอุปนิสัยต่างๆ กัน บางท่านเป็นผู้มักโกรธ บางท่านเป็นผู้มากด้วยความริษยา บางท่านเป็นผู้ตระหนี่ไม่ยอมสละสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเลย
บางท่านมีเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันแต่ละท่านมีอุปนิสัย
อย่างไร แสดงว่าในอดีตเคยเป็นเช่นนั้นมาก่อน และถ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัย
นี้ในปัจจุบันก็จะเป็นปัจจัยที่มีกำลังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดการกระทำอย่างนั้นต่อไปในอนาคตเช่น ผู้ที่สะสมความเป็นผู้ริษยาเมื่อเห็นผู้อื่นมีรูปร่างหน้าตาดี มีทรัพย์สมบัติ
มีชาติตระกูลดี ก็เกิดความริษยา แสดงว่าในอดีตเคยเป็นผู้มักริษยาผู้อื่นมาแล้ว ใน
ปัจจุบันก็ยังเป็นผู้มักริษยาและจะสะสมอย่างนั้นต่อไปในอนาคต
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 469
๘. สัลเลขสูตร
[๑๐๕] ดูก่อนจุนทะ แม้จิตตุปบาทในกุศลธรรมทั้งหลาย เราตถาคตยังกล่าวว่า มีอุปการะมาก จะกล่าวไปไยในการจัดแจงด้วยกาย ด้วยวาจาเล่า
เพราะเหตุนั้นแหละ จุนทะ เธอทั้งหลายควรให้จิตเกิดขึ้นว่า ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้เบียดเบียนกัน ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่เบียดเบียนกัน.
ชนเหล่าอื่นจักเป็นผู้ริษยา ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่ริษยา
[๑๐๙] ดูก่อนจุนทะ เหตุแห่งสัลเลขธรรม เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งจิตตุปบาท เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งการหลีกเลี่ยง เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งภาวะเบื้องสูง เราได้แสดงแล้ว เหตุแห่งความดับทุกข์ เราได้แสดงแล้ว ด้วยประการฉะนี้. ดูก่อนจุนทะ กิจอันใดที่ศาสดาผู้แสวงหาประโยชน์ ผู้เอ็นดูอนุเคราะห์เหล่าสาวกควรทำ กิจนั้น เราตถาคตได้ทำแล้วแก่เธอทั้งหลาย
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้าที่ 881
อรรถกถากโปตกชาดกที่ ๕
ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่าเธอเป็นผู้โลภจริงหรือ? เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ. จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน
เธอก็เป็นคนโลภมาแล้ว ก็เพราะความเป็นคนโลภ จึงได้ถึงความสิ้นชีวิต เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ นิสัยและการสะสมเปลี่ยนไปได้ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ความเข้าใจพระธรรมที่เจริญขึ้นเท่านั้น จึงจะค่อยๆ เปลี่ยนอุปนิสัยที่สะสมมาให้เป็นไปในฝ่ายกุศลธรรมมากขึ้นได้ ความเข้าใจพระธรรมจะช่วยส่องให้เห็นถึงความไม่ดีที่สะสมมาว่ามีมาก และหยั่งรากลึกแค่ไหน โดยเฉพาะ อวิชชาคือความไม่รู้ และโลภะที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมทั้งหลายว่า เป็นเรา เป็นตัวตนอย่างเหนียวแน่น รวมทั้งอกุศลธรรมประการอื่นๆ ความเข้าใจว่าเป็นธรรมะทั้งหมด เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องศึกษาให้ถูกต้องก่อน ถ้าเข้าใจความเป็นธรรมะมากขึ้น การขัดเกลาอกุศลประการอื่นๆ เช่น ความโกรธความริษยา ความตระหนี่ ฯลฯ เหล่านี้ ก็ย่อมจะเป็นไปได้เพิ่มขึ้นตามเหตุปัจจัย จนกว่าจะถึงการดับอกุศลเป็นสมุจเฉทตามลำดับขั้น ...ด้วยโลกุตตรปัญญา