ที่สุดของชีวิต

 
พุทธรักษา
วันที่  22 เม.ย. 2552
หมายเลข  12016
อ่าน  1,062

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรมที่เขาเต่า ๑ - ๔ สิงหาคม ๒๕๓๗

ท่านอาจารย์ สิ่งที่ปรากฏ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจดับหมด ไม่เหลือเลย ข้อสำคัญ คือ เราคิดว่า ยังเหลือ เราถึงได้รัก แต่ถ้าเราคิดว่า หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลย หาอีกไม่ได้แล้ว สิ่งที่หมดไป ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ เป็นรูป เป็นอะไร ก็หาอีกไม่ได้ เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว หายไปไหนหมด ตั้งแต่ก่อนจะตายจากไปเสียด้วยซ้ำ ทุกขณะจิตนี้เกิดมา เพื่อที่จะจาก ทุกๆ ขณะจิต จิต ทุกๆ ขณะ เกิดขึ้นมา ทำหน้าที่ แล้วก็ดับ ดับ ดับ

ท่านผู้ฟัง ก็ไม่ต้องไปเยื่อใย พูดได้เท่านั้น แต่ทำไม่ได้.!

ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญา ที่ถึงระดับที่จะรู้ได้ จึงจะรู้ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น พระมหากรุณาคุณ ที่ทรงตรัสรู้ แล้วทรงแสดงธรรม เพราะทรงทราบว่า มีผู้ที่สามารถฟังแล้วเข้าใจ และ ประพฤติปฏิบัติตามได้

ท่านผู้ฟัง เกิดมา เพื่อจาก

ท่านอาจารย์ เตรียมจาก ความจริงแล้ว กำลังจากอยู่ทุกขณะจิต ไม่มีอะไรเหลือเลย ในแต่ละขณะจิต ที่ดับไปๆ เพราะฉะนั้น ปัจจุบันเท่านั้น ที่รู้ความจริงได้ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ไม่มีทางที่จะรู้ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็หมดแล้ว มีแต่ "สิ่งที่กำลังปรากฏ" เท่านั้น ที่จะทำให้ "ปัญญา" เจริญขึ้นได้ สภาพธรรม เกิดดับ สืบต่อกัน รวดเร็วมาก ทั้งวิบาก ทั้งกุศล ทั้งอกุศล ทั้งกรรม ทั้งกิเลส เพราะฉะนั้น สติ สามารถที่จะระลึกขณะไหน ได้หมดเลย ไม่มีการเลือกที่รักมักที่ชัง.!

ท่านผู้ฟัง อยู่ที่นี่ มีวิบากให้ได้ยินเยอะ

ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหน ก็ได้ยิน หลังจากภวังคจิต ก็เป็น วิบาก เห็น ก็เป็นวิบาก ได้ยิน ก็เป็นวิบาก มีกุศล หรือ อกุศล คั่นวิบาก ระหว่างที่คิด ชอบ หรือ ไม่ชอบเรื่องนั้น เรื่องนี้เป็นกุศล หรือ อกุศล ที่เกิดสลับกับวิบาก ที่พูดทั้งหมดนี้ เป็น "ปรมัตถธรรม" ทั้งหมดเลยนอกจาก "เรื่องราว" ที่คิดนึกเท่านั้น ที่ไม่ใช่ "ปรมัตถธรรม" .. "ปรมัตถธรรม" ดับแล้ว แต่ "ความทรงจำ" และ "ความคิดนึก" ที่ปรุงแต่ง ให้เป็น "วิปลาส" ต่างๆ "วิปลาส" เกิดหลังจากที่เห็น หลังจากที่ได้ยิน อะไรที่ไม่ใช่ "ปรมัตถ์" แต่ เป็น "บัญญัติ" หรือ "เรื่องราว" และไม่ใช่สิ่งที่มีจริง ก็เป็น "วิปลาส" เราจะเรียก ว่าอะไร หรือ ไม่เรียก ว่าอะไร ก็เป็น "ผลของกรรม" ที่ทำให้เกิดการเห็นคือ ผลของกรรม ที่ต้องเห็น ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ว่า หลังจากที่เห็นแล้วนั้น มีการคิดนึกถึง เรื่องราว สุขและทุกข์ขณะนั้น ไม่ใช่ผลของกรรมแล้ว เพราะสภาพธรรม เกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็วเดี๋ยวก็เห็นอีก ได้ยินอีก.แม้แต่ในขณะที่เรากำลังพูดกันนี้ก็มีทั้ง "เห็น ... ได้ยิน" และมีทั้ง "เรื่อง" ที่คิดจะพูดนี่แสดงให้เห็นว่า จิตเกิดดับรวดเร็วจนเหมือน (เกิด) พร้อมกัน.แต่ความจริง จิตเกิดขึ้น ทีละหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้น เห็น ก็ต้องขณะหนึ่ง ได้ยิน ก็ต้องเป็นอีกขณะหนึ่ง และที่เป็นกุศล เป็นอกุศล ขณะที่คิดนึก ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง แล้วขณะที่เห็นอีก ก็เป็นอีกขณะหนึ่ง ในชีวิตประจำวัน แต่ละทวาร แต่ละทาง ที่จิตรู้อารมณ์นั้น ถ้าเรารู้จัก "วิบาก" ได้แก่ การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส และ การกระทบสัมผัสทางกาย ก็จะช่วยได้มากคือ รู้ตามความเป็นจริง ว่า ๑. เราต้องเกิดมา ๒. ชีวิตเรา ต้องเป็นไปตามกรรม และ ละเอียดไปกว่านั้น ก็คือ ที่กำลังเห็น หรือ กำลังได้ยิน ขณะนี้ คือ "วิบาก"

ชีวิต มีองค์ประกอบ ก็คือ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส และ คิดนึก เมื่อมีการรู้อารมณ์ มีวิบากจิตเกิด แล้วก็มีกุศล หรือ อกุศล เกิดคั่น.เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นกุศล หรือ อกุศลไม่ใช่ขณะที่เป็นวิบาก ขณะที่เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศลนั้น เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิด "เหตุ" (กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม) ที่จะทำให้เกิด "ผล" (กุศลวิบาก หรือ อกุศลวิบาก) ข้างหน้า ถ้าใครเห็นแล้ว จิต เป็น กุศลผล (ข้างหน้า) ก็ต้องเป็นผลที่ดี เป็นการสะสมที่ดี แต่ถ้าใครเห็นแล้ว เกิดอกุศล ก็รู้ว่ากำลังสะสมสิ่งที่ไม่ดี และต่อไป ก็เป็นอกุศลกรรม ซึ่งให้ผล เป็น อกุศลวิบากคือ การเห็นสิ่งที่ไม่ดี (เป็นต้น) ความจริง ที่สุดของชีวิต ก็เท่านี้เอง เกิดมาแล้ว แสนโกฏิกัปป์ ไม่มีอะไรสักอย่าง ที่ยั่งยืน ชั่วขณะแวบเดียวที่เกิดดับ เกิด ดับ ... เหมือนอย่าง งาในกระทะที่เกิด ดับ ... เกิด ดับ ดังเปรี๊ยะๆ แป๊ะๆ ตลอดเวลา

... ขออนุโมทนา ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
สุภาพร
วันที่ 22 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
suwit02
วันที่ 22 เม.ย. 2552

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
hadezz
วันที่ 22 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 22 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
opanayigo
วันที่ 22 เม.ย. 2552

อนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 22 เม.ย. 2552

เพราะฉะนั้นปัจจุบันเท่านั้น ที่รู้ความจริงได้ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ไม่มีทางที่จะรู้ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็หมดแล้ว มีแต่ "สิ่งที่กำลังปรากฏ"เท่านั้น ที่จะทำให้ "ปัญญา" เจริญขึ้นได้

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
เมตตา
วันที่ 22 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 23 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
fam
วันที่ 23 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาบุญค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
เบน
วันที่ 23 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
panasda
วันที่ 23 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
คุณ
วันที่ 24 เม.ย. 2552
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
สามารถ
วันที่ 24 เม.ย. 2552

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
nida
วันที่ 26 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
aiatien
วันที่ 26 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ