ปัญญา เริ่มจากความเข้าใจ...และ ความเข้าใจ ก็คือ ปัญญา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่เขาเต่า ๑ - ๔ สิงหาคม ๒๕๓๗
ท่านอาจารย์ พระผู้มีพระภาค ก็ยังทรงเห็น เป็นต้นไม้ ฯ แต่ว่า "จิตของพระองค์" เป็น "กิริยาจิต" ส่วนจิตของเราเป็น "กุศลจิต" หรือ "อกุศลจิต" เพราะฉะนั้นต้องรู้ "ลักษณะของจิต" ว่าเป็น กุศล หรือ อกุศลหลังจาก วิบากจิต ดับไป
"วิบากจิต" ได้แก่ การเห็นสีต่างๆ ทางตา การได้ยินเสียงต่างๆ ทางหู การได้กลิ่นต่างๆ ทางจมูก การรู้รสต่างๆ เช่น เปรี้ยว หวาน ฯลฯ ทางลิ้น และ การกระทบสัมผัส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว ทางกาย วิบาก ที่เกิดขึ้น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เหล่านี้ ต้องไม่ใช่ "รูป" เพราะว่า "รูป" ไม่ใช่สภาพรู้ เช่น ขณะที่หกล้มความเจ็บปวดที่ปรากฏ เป็นวิบาก เพราะเกี่ยวเนื่องกับ "รูปทางกาย" ซึ่งมีการกระทบ แล้วก็เกิด "ความรู้สึกเจ็บปวด" ซึ่งเป็น "ทุกขกายวิญญาณจิต" และเป็น "วิบากอเหตุกจิต" นั่นเอง ส่วน "รูป" เช่น "ลักษณะของความหวาน" นั้นความหวาน ไม่รู้อะไรเลย แต่ "ลักษณะของสภาพธรรมที่รู้ว่าหวาน" ที่กำลังปรากฏ ทางลิ้นลักษณะของสภาพรู้หวาน ขณะนั้น เป็นวิบากทางลิ้น (เป็นต้น)
ท่านผู้ฟัง พอรู้ว่าหวาน ก็ชอบเลย
ท่านอาจารย์ ขณะที่ชอบ นั้น อกุศลจิต เกิดต่อจาก กุศลวิบาก (จิต) แล้ว คนส่วนใหญ่ ต้องการ "ผลของกรรม" (ที่เป็นกุศลวิบาก) แต่ ไม่ได้คำนึงถึง "สภาพจิต หลังจากได้รับผลของกรรม" แล้วต่อไป จะเป็นอย่างไร
ท่านผู้ฟัง ก็ "ติดข้อง" ติดข้อง ต่อไปอีกค่ะ
ท่านอาจารย์ แต่ ถ้าเป็น กุศลจิตที่เกิดต่อจาก กุศลวิบาก ก็สบาย หมายความว่า ไหนๆ ก็ได้รับ "กุศลวิบาก" แล้ว ก็ยังมี "เหตุ" ที่ทำให้เกิด "กุศลจิต" ต่อไปอีก (นี่เป็นประโยชน์) เพราะฉะนั้น หนทางเดียว ที่ "จิต" จะเป็นกุศล ตลอดเวลาก็คือ ขณะที่ "สติปัฏฐาน" กำลังเกิด เท่านั้น แต่ เพราะว่า "สติปัฏฐาน" เกิดไม่ทัน นั่นเอง "จิต" จึงเป็นอกุศล
ท่านผู้ฟัง ลองพิจารณาดู ว่าระหว่างที่เราตื่น จนกระทั่งมานั่งอยู่ที่นี่ "กุศลจิต" เกิดขึ้นบ่อยไหม หลังจากที่เห็น แต่ สำหรับตอนนี้ เราได้ประโยชน์ ตอนที่เรากำลังสนทนา "เรื่องของธรรมะ" เพราะว่า กุศลวิบาก เกิดทางทวารอื่นด้วย ทางหนึ่งทางใด แล้วยังมีกุศลจิตเกิดต่อ หลังจากการฟัง "เรื่องของธรรมะ" ด้วย คือ มีทั้ง กุศลวิบาก ขณะที่ได้รับ ผลของกรรมที่ดี และยังมี กุศลจิต เกิดด้วย ขณะที่ "เข้าใจ" พระธรรมทีได้ฟัง เพราะเหตุว่า ขณะที่เราเจริญกุศล เช่น การฟัง "เรื่องของธรรมะ" แล้วเกิด "ความเข้าใจ" ในสิ่งที่ได้ฟังก็ไม่เหมือนกับตอนที่เรา "เพลิดเพลินไปกับโลภะ ความติดข้อง" อย่างเต็มที่หลังจากได้รับ "กุศลวิบาก" หมายความว่า ยังมีช่วงเวลา ที่เป็น กุศล เกิดสลับกับอกุศลได้
ในขณะที่ ฟังพระธรรม แล้วเกิดความเข้าใจ อย่าพอใจเพียง "กุศลวิบาก" เท่านั้นแต่ควรที่จะมี "กุศลจิต" เกิดขึ้นด้วยเพื่อการที่ กุศลธรรม จะเจริญยิ่งขึ้นๆ อันนี้ สำคัญมาก เพราะว่า "ปัญญา" ก็คือ "ความเข้าใจ" เราใช้คำว่า "วิชชา" .. "ญาณ" .. "ปัญญา" ฯลฯ แต่ทั้งหมด เริ่มมาจาก "ความเข้าใจ" และควรจะเป็น "ความเข้าใจ" ที่ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดขึ้น เหมือนอย่างเช่น "ผลไม้" เมื่อเริ่มออกดอก ก็เป็น "ดอกไม้ เล็กๆ " แล้วดอกไม้ เล็กๆ นั้น ก็ค่อยๆ โตขึ้นๆ จนกระทั่ง กลายเป็น "ผลไม้ เล็กๆ " ที่ค่อยๆ โตขึ้นๆ และกลายเป็น "ผลไม้ ที่โตเต็มที่" ฉันใด "ปัญญา" คือ "ความเข้าใจ" ก็จะต้อง "เริ่มเกิดขึ้น" ก่อน และจะค่อยๆ โตขึ้นๆ ฉันนั้น
... ขออนุโมทนา ...
มะไฟ ต้นนี้ ให้ดอกเมื่อปลายปีก่อน ตอนนี้ กำลังติดผลเล็กๆ
ขอขอบพระคุณ ผู้ให้รูปภาพประกอบจาก
www.navy22.com/smf/
ท่านสามารถเข้าชม และ ฟังเพลง "ฤดูที่แตกต่าง" อันเป็นที่มาของภาพนี้ได้ด้วยค่ะ
" ... แต่ทั้งหมด เริ่มมาจาก "ความเข้าใจ" และควรจะเป็น "ความเข้าใจ" ที่ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดขึ้น ... "
ขออนุโมทนาครับ
แต่ทั้งหมด เริ่มมาจาก "ความเข้าใจ" และควรจะเป็น "ความเข้าใจ" ที่ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดขึ้น
ขออนุโมทนาครับ
การ "ปลูก" (ปัญญา) ต้นไม้ รดน้ำด้วย ความเข้าใจ อดทน ต่อปัจจัย ที่ทำให้การเจริญเติบโต เนิ่นช้า (เปรียบดั่งเพลี้ย แมลง สภาพดิน ฟ้า อากาศที่เป็นตัวแปร รวมถึงการรดน้ำมาก-น้อยเกินไป) หาก ต้นไม้นั้นยืนหยัด อาจหาญ ทนทาน ผ่านไปได้ ต้องอาศัย ราก (ปัญญา) อันแข็งแรง เมื่อผ่านฤดูต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงมาได้ เมื่อวันหนึ่งถึงเวลาเป็นต้นไม้ใหญ่ ก็จะให้ประโยชน์กับผู้คนมากมาย (ก็เป็นเพียงความเข้าใจขั้นพิจารณาเรื่องราว นะคะ) ข้อความอุปมา อย่างเช่น ผลไม้ (ด้านบน) ไพเราะลึกซึ้ง
กราบอนุโมทนาค่ะ