รู้ว่าเป็นผลของกรรม ... เพราะมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์

 
พุทธรักษา
วันที่  27 เม.ย. 2552
หมายเลข  12066
อ่าน  1,105

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สนทนาธรรมที่เขาเต่า ๑ - ๔ สิงหาคม ๒๕๓๗

ท่านผู้ฟัง เพิ่งทราบ ว่า ขณะที่ระลึกรู้ลักษณะผลของกรรม หรือ วิบาก นั้นก็คือ ขณะที่มี "ปรมัตถธรรม" เป็น "อารมณ์"เช่น ลมพัดเย็น ก็เพราะมี "ลักษณะเย็น" กระทบกาย "ไม่ใช่เรา" เพราะว่า ขณะนั้น มีแต่ "ลักษณะเย็น" กำลังปรากฏขณะนั้น มีปรมัตถ์เป็นอารมณ์ และ "เจริญสติปัฏฐาน" ได้โดยการระลึกรู้ ว่า "กายวิญญาณ" ที่เกิดขึ้นรู้ลักษณะเย็น นั้นเองที่เป็น "วิบากจิต" หรือ "ผลของกรรม"

ท่านอาจารย์ ก็เหมือนกับขณะนี้"เห็น" ก็มีปรากฏ ใช่ไหมคะ.?ถ้าเรารู้ว่าเป็น "ผลของกรรม"ก็จะต้องรู้ด้วยว่า เป็น "ผลของกรรม" เมื่อไร เมื่อ "เห็น" ใช่ไหม กำลัง "เห็น" ขณะนี้แหละคือ "ผลของกรรม" หลังจาก "เห็น" ก็เป็น "กิเลส" ทันที ซึ่ง เร็วมากแต่เราไม่รู้ ว่า "กิเลส" เกิดเพราะว่า ทันทีที่ "เห็น" ... "กิเลส" เกิดต่อทันที และ "กิเลส" ก็เกิดติดตามสิ่งที่ปรากฏอยู่ตลอดเวลา.!ไม่ว่าจะ "เห็น" ... "กิเลส" ก็เกิด "ได้ยิน" ... "กิเลส" ก็เกิด ฯลฯ เพราะฉะนั้นถ้า "เห็น" แต่ "สติ" ไม่ระลึกรู้ "สิ่งที่ปรากฏทางตา" หมายความว่า ขณะนั้น "โลภะ" เกิดต่อทันที แต่ "ปัญญา" หรือ "กุศล" เกิดแทน "อกุศล" ได้เมื่อมี "ปัญญา" อย่างพระอรหันต์ พระอรหันต์ ท่านก็มี "เห็น"แต่ "โลภะ" ของท่านไม่มีเลย แสดงว่า "ปัญญา" ของท่าน รู้ตามความเป็นจริง ว่า "โลภะ" เกิด ตอนที่เห็นแล้ว และท่าน ก็สามารถที่จะละโลภะนั้นได้

ท่านผู้ฟัง การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ "ปัญญา" การฟังธรรมะ การเจริญสติก็เพื่อให้ "ปัญญา" เจริญขึ้นและ "ปัญญา" ก็เกิดตรงนี้ตรงที่ เจริญสติ เพื่อ ระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริง

ท่านอาจารย์ แต่จะต้องค่อยๆ รู้ขึ้น เพราะว่า จะรู้ทันทีนั้น ไม่ได้ ต้องอาศัย "การฟังอย่างละเอียด" โดยนัย ต่างๆ จนกว่าจะเข้าใจใน "สิ่งที่ปรากฏ" ว่า สิ่งที่ปรากฏนี้ มีจริง และ "สิ่งที่ปรากฏ" นี้ ก็เป็น "ผลของกรรม" ด้วยมีลักษณะที่เป็น"ปรมัตถธรรม" ปรากฏให้เรารู้ได้ ว่าขณะที่เป็น "ผลของกรรม" คือ เดี๋ยวนี้ ที่กำลังรู้ "สิ่งที่กำลังปรากฏ" รู้ว่าเป็น "ผลของกรรม" เพราะขณะนั้น มี "ปรมัตถธรรม" ปรากฏ รู้ว่าเป็น "ผลของกรรม" เพราะขณะนั้น มี "ปรมัตถธรรม" เป็นอารมณ์

"ปรมัตถธรรม" มี (ให้รู้ได้) แต่ "อวิชชา" ทำให้ไม่รู้ เพราะฉะนั้น เราฟังพระธรรม เพื่อที่จะรู้จนกว่า "สติ" จะรู้ ว่าการรู้ "วิบาก" หรือ การรู้ "ผลของกรรม" นั้น คือ รู้ เมื่อ "ลักษณะของสภาพธรรม" นั้น กำลังปรากฏ มิฉะนั้น เราก็พูดแต่ปาก ว่า นี่คือ ผลของกรรมๆ แต่ ผลของกรรม จริงๆ คือ เดี๋ยวนี้ "เห็น" เดี๋ยวนี้ คือ ผลของกรรม "ได้ยิน" เดี๋ยวนี้ คือ ผลของกรรม ฯลฯ "ผลของกรรม" เป็น นามธรรม คือ เป็น สภาพรู้เป็น "ปรมัตถธรรม" อย่างนี้

... ขออนุโมทนา ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
aiatien
วันที่ 27 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
pornpaon
วันที่ 27 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 27 เม.ย. 2552

"ปรมัตถธรรม" มี (ให้รู้ได้) แต่ "อวิชชา" ... ทำให้ไม่รู้.!

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
จักรกฤษณ์
วันที่ 27 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
kulwilai
วันที่ 27 เม.ย. 2552

เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตา

เห็นเป็นผลของกรรม ไม่มีใครทำเห็น แต่เพราะมีปัจจัยให้เกิดเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาที่สำคัญคือหลังเห็นแล้ว ติดข้องบ้าง ขุ่นเคืองใจบ้าง ขณะนั้นไม่ใช่ผลของกรรมที่เป็นวิบากจิต แต่เป็นอกุศลเจตสิกที่เกิดกับอกุศลจิต

ท่านอาจารย์สุจินต์ถามผู้ร่วมสนทนาว่า รู้จักดิฉันไหม

ผู้ร่วมสนทนาตอบ รู้จักครับ

ท่านอาจารย์สุจินต์ รู้จักดิฉัน แต่ไม่รู้จักสิ่งที่ปรากฏทางตา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 27 เม.ย. 2552

ท่านอาจารย์สุจินต์ถามผู้ร่วมสนทนาว่า รู้จักดิฉันไหม

ผู้ร่วมสนทนาตอบ รู้จักครับ

ท่านอาจารย์สุจินต์ รู้จักดิฉัน แต่ไม่รู้จักสิ่งที่ปรากฏทางตาน่าคิดค่ะ ... เวลาที่หาคลื่นวิทยุ เพื่อฟังรายการแนวทางเจริญวิปัสสนาฯ ทีไร ... ไม่ได้หา "เสียงที่กำลังปรากฏ" ... แต่ ... หา "เสียงของอาจารย์" ... ทุกทีเลยค่ะ.!

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nida
วันที่ 28 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Komsan
วันที่ 29 เม.ย. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 4 พ.ค. 2552

ฯลฯ "ผลของกรรม" เป็น นามธรรม คือ เป็น สภาพรู้ เป็น "ปรมัตถธรรม" อย่างนี้

และ "สิ่งที่ปรากฏ" นี้ ก็เป็น "ผลของกรรม" ด้วย

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
พุทธรักษา
วันที่ 5 พ.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12066 ความคิดเห็นที่ 9 โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะ

ฯลฯ

"ผลของกรรม" เป็น นามธรรม คือ เป็น สภาพรู้ เป็น "ปรมัตถธรรม" อย่างนี้

และ "สิ่งที่ปรากฏ" นี้ ก็เป็น "ผลของกรรม" ด้วย


ข้าพเจ้าเข้าใจว่า ถ้ากล่าวโดยปรมัตถ์ "ผลของกรรม" คือ "วิบาก" และ "วิบาก" ต้องเป็น "นามธรรม" คือ สภาพรู้ ส่วน "สิ่งที่ปรากฏ" อาจจะเป็น "รูปธรรม" หรือ "นามธรรม" ก็ได้ เช่น "รูปที่เกิดจากกรรม" ต้องเป็น "รูปธรรม" คือ สภาพที่ไม่รู้อะไรเลย หาก "สิ่งที่ปรากฏ" ไม่ใช่สภาพรู้ก็ไม่ใช่ "ผลของกรรม"

ไม่ทราบว่า ... เข้าใจตรงกันหรือเปล่า

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
prachern.s
วันที่ 5 พ.ค. 2552

เรียน ความเห็นที่ 10 ครับ

ผลของกรรมมี ๒ ประเภท คือ วิบากจิตเจตสิก ๑ กัมมชรูป ๑ ถ้าเป็นวิบากต้องเป็นนามธรรมเท่านั้น แต่รูปที่เกิดจากกรรมมีอยู่ แต่ไม่ใช่วิบาก ดังนั้น สิ่งที่ปรากฏเป็นผลของกรรมก็มี ไม่ใช่ผลของกรรมก็มีครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
พุทธรักษา
วันที่ 5 พ.ค. 2552

ขอบพระคุณค่ะ ... ขออนุโมทนา.

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
saifon.p
วันที่ 5 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
nida
วันที่ 6 ม.ค. 2553

ผลของกรรมมีผลต่อเมื่อมี จิต เท่านั้น ส่วนรูปนั้นมี กรรมที่เกิดจากรูปเท่านั้นเอง ใช่ไหมครับ ถ้าไม่ใช่ขอคำแนะนำผู้รู้น้อยด้วยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
prachern.s
วันที่ 7 ม.ค. 2553
ผลของกรรม มีทั้งจิต เจตสิก และกัมมชรูป ครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ