กระจก...ส่องใจ
ในแต่ละวัน ส่องกระจกวันละหลายครั้ง ทุกครั้งก็จะเห็นแต่รอยย่นยับเยิน จุด ดำด่าง บ่งบอกถึงความสูงวัย เห็นแล้วก็ให้เกิดอาการหงุดหงิด หดหู่ ไม่พอใจ แต่พอคิดได้ว่าก็เป็นธรรมดาของสังขารที่พอมองเห็นได้ด้วยตา ภายนอกยังน่า เกลียดอย่างนี้ แล้วภายในที่มองไม่เห็นจะขนาดไหน ถ้ามีกระจก หรือ แว่น ที่ ส่องใจของเราได้คงจะเห็นแต่อวิชชา และบรรดาอกุศลทั้งหลายจะกี่กองก็ตาม ที่รกขัฏ และดำมืด น่ารังเกียจกว่ารอยยับเยินของรูปร่าง หน้าตา แน่นอน
ฉะนั้น วันเสาร์-อาทิตย์ จึงเป็นวันที่ได้พบกระจก หรือ แว่น ส่องใจที่ใสสะอาด สามารถเห็นอกุศล หรือ อวิชชา ของตนได้ชัดเจน แต่กระนั้นก็ยังมีเหตุที่ทำให้ ไม่สามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ ทำไม อกุศล จึงทำได้ง่ายกว่า กุศล นะ???
ขออนุโมทนาสหายธรรมทุกท่าน ที่ได้พบ กระจกส่องใจทุกวันเสาร์-อาทิตย์
หากเพียงมองด้วยตาเปล่า
ก็เหมือนไม่มี...ต่อเมื่อนำ แว่น (ธรรม) ส่องดู
ก็พลัน อึ้ง ในสิ่งที่ แว่นขยาย ให้เห็นว่า
มันเนียนเป็นเนื้อเดียวกับ " เรา " เลย
....ถูกล้อมไว้หมดแล้ว...
กุศล เหมือน เพื่อนแท้ที่จากกันไปนานมากๆ ๆ กว่าจะมาหา
บางครั้งเหมือนจะมา แต่ก็มาไม่ถึง
อกุศลนี่อยู่ตลอดร่วมชายคาไม่ไปไหนเลย.. (เพลิดเพลินมาก)
กราบอนุโมทนาค่ะ
ศัตรูที่รักมากที่สุด ไม่อยากให้จากไปไหนเลย คือ โลภะอกุศล
กลัวจะหนี สะสมความสนิทสนมเพิ่มขึ้นอยู่ทุกวัน ทั้งที่ปกติก็แยกกันไม่ออกอยู่แล้ว
หากไม่มีกระจกธรรม
ก็ยากจะมองเห็นหน้าตาอันน่ากลัวอย่างยิ่งที่แท้จริงของเขา
อย่างนี้
เข้าข่าย...รู้ว่าหลอกยังเต็มใจให้ (อกุศล) หลอก
ขออนุโมทนาคุณ pannipa.v
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในชีวิตประจำวัน ปกติของบุคคลที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น อกุศลจิตย่อมเกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา และเกิดมากด้วย ก็เพราะยังมีกิเลสอยู่นั่นเอง เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่อกุศลจิตเกิดตลอดทั้งวัน บางโอกาส กุศลจิตก็สามารถที่จะเกิดได้ตามการสะสม สำหรับผู้ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม ไม่ได้ฟังพระธรรม ย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่าตัวเองมีกิเลส และจะสะสมกิเลสต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่เพราะอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จึงทำให้ได้รู้ว่าวันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น มีมานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ พร้อมทั้งทำให้เห็นโทษภัยของกิเลสด้วยว่าไม่นำประโยชน์อะไรๆ มาให้เลย เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับ มีปัญญาที่รู้ชัดขึ้น เพิ่มขึ้น ก็จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสให้เบาบางลงได้ คลายได้ โดยเป็นหน้าที่ของธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นทำกิจ ไม่ใช่เราไปทำ ไม่ใช่ตัวเราที่ขัด ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย ดังนั้น ในแต่ละวัน กระจก สำหรับส่องใจของแต่ละบุคคล ที่จะทำให้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริงนั้น ก็คือ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง นั่นเอง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ถ้าสติปัฏฐานเกิด ไม่มีสัตว์บุคคลในกระจก มีแต่รูปนามที่เกิดขึ้นแล้วดับไปตามเหตุปัจจัยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 265
[๑๒๘] พ.ดูก่อนราหุล เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน แว่นมีประโยชน์อย่างไร.
พระราหุล..มีประโยชน์สำหรับส่องดู พระเจ้าข้า.
พระพุทธเจ้า..ฉันนั้นเหมือนกันแล ราหุล บุคคลควรพิจารณาเสียก่อน แล้วจึงทำกรรมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ.
บทว่า ปจฺจเวกฺขณตฺโถ คือ มีประโยชน์สำหรับส่องดู. อธิบายว่ามีประโยชน์ส่องดูโทษที่ใบหน้า. บทว่า ปจฺจเวกฺขิตฺวา ปจฺจเวกฺขิตฺวา คือตรวจดูแล้ว ตรวจดูอีก พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่าควรพิจารณาใคร่ครวญก่อนจะทำกรรมทางกาย วาจาและใจ
การกระทำทางกาย วาจาและใจในชีวิตประจำวันก็เหมือนกระจกสะท้อนกำลังของกิเลส
พระพุทธองค์จึงทรงเปรียบว่าแว่นมีไว้ส่องดูใบหน้า ฉันใด เธอควรพิจารณาด้วยปัญญา
ส่องดูกาย วาจาและใจของเธอที่มีในชีวิตประจำวันว่าเป็นอย่างไร และละกรรมทางกาย
วาจาและใจที่ไม่ดี เจริญในกรรมทางกาย วาจาและใจที่ดี ซึ่งก็ต้องอาศัยการฟังพระ-
ธรรม จนปัญญาเจริญขึ้น ปัญญานั่นเองย่อมเป็นแว่นเป็นกระจกส่องกาย วาจา และใจ
และเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีครับ ขออนุโมทนา อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ยินดีต้อนรับครับ
เข้าใจพระธรรมมากขึ้น ก็เหมือนกับได้กระจกที่ใสขึ้น ที่สามารถส่องดูจิตใจได้ตรง และละเอียด ถี่ถ้วนเพิ่มขึ้น จนกว่าจะเป็นปัจจัยให้ส่องลึกลงไป จนเห็นความไม่ใช่ สัตว์บุคคล ตัวตน ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ...ขออนุโมทนาครับ...
กระจกส่องใจทุกวันเสาร์-อาทิตย์
ส่องให้เห็นถึงภัยที่มองไม่เห็น คือ กิเลสที่อยู่ภายในตัวเราเอง
เชิญคลิกอ่านได้ที่.....
ขออนุโมทนาค่ะ
ทำไม กระจกส่องใจ จึงมีแค่วันเสาร์และอาทิตย์ละคะ วันอื่นๆ กระจกอยู่ที่ไหน
สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง และไม่เลือกวัน ใช่หรือไม่
ทุกเช้า ฟังท่านอาจารย์ไป ส่องกระจกไป (ฟังแบบสติน้อย) โอ...สังขารเอ๋ย
ล่วงเลยไปทุกลมหายใจ เราต้องไม่ยึดถือ มีแต่รูป นาม อือ..ตรงคอยังไม่เหี่ยวมาก
ค่อยยังชั่วหน่อย เห้ยย..อายุก็ปูนนี้แล้วไม่รู้จะห่วงรูปร่างหน้าตาไปทำไม เออ..เมื่อวาน
กินมากไปหน่อยพุงป่องแฮะ.. หนังตาตกแล้ว นี่แหละสัจธรรม.. รูปธรรม นามธรรม
เอ..ครีมหน้าเด้งเกือบหมดแล้วเดี๋ยวต้องไปซื้อเผื่อไว้
เสื้อผ้าเต็มตู้เลย ความจริงใส่อะไรก็กระทบแข็งนั่นแหละสิ้นเปลื้องไร้ประโยชน์
เออ.. ตัวนี้ใส่แล้วดูผอมดีหน่อย วันนี้ใส่ตัวนี้แหละ
ทุกวันเลย
ทำไม กระจกส่องใจ จึงมีแค่วันเสาร์และอาทิตย์ละคะ วันอื่นๆ กระจกอยู่ที่ไหน
สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง และไม่เลือกวัน ใช่หรือไม่
................สาธุค่ะ..............
ทำไม กระจกส่องใจ จึงมีแค่วันเสาร์และอาทิตย์ละคะ วันอื่นๆ กระจกอยู่ที่ไหน
สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง และไม่เลือกวัน ใช่หรือไม่
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ปัญญาเท่านั้นเป็นเหมือนแพย์ที่ตัดสินใจรักษาการบาดเจ็บ (ทุกข์)
สติเป็นเหมือนพยาบาลที่ทำให้การบาดเจ็บ (ทุกข์) ทรงตัวไม่ให้หนักไปกว่าเก่า
การมีตัวตนทั้งกายและใจเป็นการบาดเจ็บ (ทุกข์)
จิตที่มีความตั้งมั่นเป็นกลางเป็นคนดูเฉยๆ ไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เข้าไปแก้ไข
ทำอะไรไปไม่ได้นอกจากระลึกรู้ (เห็น) แล้วจบที่ตรงรู้ก็พอ เพราะเป็นอนัตตา
ผมเข้าใจว่าท่านผู้ถามคงหมายถึงท่านอาจารย์ที่มาบรรยายในวันเสาร์-อาทิตย์และเปรียบท่านอาจารย์เป็นกระจกช่วยส่องทางปัญญาให้กับผู้ที่ยังมองไม่เห็นทางพ้นภัยในวัฏฏะ ถ้าเป็นเช่นนี้ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ต้องการไปหากระจกส่องแต่โอกาสไม่อำนวย ได้แต่ฟังทางวิทยุและแผ่นซีดี แต่ก็ไม่เสียใจเพราะรู้ว่าสร้างเหตุทางไหนก็ได้ทางนั้น ผู้ศึกษาธรรมทั้งหลายต้องการกระจก-ส่องใจ แต่รู้ไหมว่ามีด้วยกันทุกคนแล้ว อยู่ที่ว่าใครจะหยิบขื้นมาส่องหรือไม่ เป็นอนัตตาจริงๆ ด้วย
กราบอนุโมทนากับสหายธรรมทุกท่านครับ