ใครรู้วิธีระงับความโกรธเวลามีคนยั่วโมโหบ้างครับ

 
จิ้งจอกเก้าหาง
วันที่  28 เม.ย. 2552
หมายเลข  12083
อ่าน  7,223
อยากทราบวิธีการระงับความโกรธตอนมีคนมายั่วโมโหครับ

  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 28 เม.ย. 2552
 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
happyindy
วันที่ 28 เม.ย. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

ระงับยากนะคะ ต้องเป็นพระอนาคามีแน่ะค่ะถึงจะดับความโกรธได้เด็ดขาด แต่ปุถุชนอย่างเรา แค่จะระลึกถึงโทษของความโกรธได้จนความโกรธค่อยๆ เบาลง ก็ยังยากเลยค่ะ ส่วนใหญ่ก็ปล่อยความเป็นอกุศลโกรธไปเต็มๆ ทุกที

อ่านเรื่องเมตตา และฟังเรื่องเมตตา บ่อยๆ ก็ดีนะคะ แม้ระงับไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็อาจไม่โกรธมาก ไม่โกรธนาน เพราะเหตุยังมีอยู่ ยังไงๆ ความโกรธก็ยังต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอนค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wannee.s
วันที่ 28 เม.ย. 2552

ขึ้นชื่อว่าความโกรธผู้อื่นย่อมเหมือนดังจับถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลวและจับเหล็กอันร้อน และคูถ เป็นต้น แล้วประหารผู้อื่น

แม้ผู้อื่นโกรธเราแล้ว เขาจักทำอะไรเราได้เขาจักอาจเพื่อยังคุณอันมีศีล เป็นต้น ของเราให้พินาศไปได้หรือ เรามาด้วยกรรมของเรา เราก็จักไปด้วยกรรมของเราเท่านั้น ข้อสำคัญเวลาเราโกรธใครๆ จงรู้ไว้ว่าไม่มีเขา มีแต่กิเลสของเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nida
วันที่ 29 เม.ย. 2552

ผมเตือนคาถา 3 ข้อว่า

1.ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเราแล้วจะโกรธเขาทำไม

2.ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเขาแล้วจะโกรธเขาทำไม

3.ทำไมเราเห็นแก่ตัวมากกว่าผู้อื่นที่กำลังเดือร้อนอยู่ตอนนี้

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 29 เม.ย. 2552

คนที่มายั่วโมโหเป็นเพียงรูปที่ปรากฏทางตา เสียงที่มากระทบเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางหู โกรธเป็นกิเลสของเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
คุณ
วันที่ 29 เม.ย. 2552
อนุโมทนาค่ะ
 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ajarnkruo
วันที่ 29 เม.ย. 2552

วิธีคือศึกษาพระธรรมให้เข้าใจความจริงที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ หมวดไหน ข้อไหน ก็ได้ แต่ที่จะเป็นประโยชน์จริงๆ ก็ต่อเมื่อได้น้อมประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนแต่ละหมวดนั้นๆ ด้วยความเข้าใจถูกและเห็นประโยชน์จริงๆ โดยไม่หลงผิดยึดถือว่าเป็นตัวตน เป็นเรา ที่จะกระทำได้ เช่น แม้ในขณะที่โกรธ ก็ไม่ใช่เราทำโกรธ แต่โกรธเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย แม้ในขณะที่ไม่โกรธ ก็ไม่ใช่เราทำไม่โกรธ แต่ที่ไม่โกรธก็เพราะมีเหตุปัจจัย หรือแม้ในขณะที่กำลังระงับความโกรธ ก็ไม่ใช่เราทำระงับแต่ที่ระงับความโกรธได้ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัยของธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับความโกรธ เรียกว่า เมตตา (อโทสะ) นั่นเองครับ ผู้ที่ศึกษาพระธรรมด้วยดี มีความเห็น มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามคำสอน จะเป็นผู้ที่รู้จักตนเองมากขึ้น มีความแยบคายในการพิจารณาความจริงที่ปรากฏกับตนในชีวิตประจำวันมากขึ้น ขัดเกลาความประพฤติทางกาย วาจา ใจ ของตนมากขึ้น ตามกำลังของปัญญา เป็นผู้ที่รู้ว่าแม้ในขณะโกรธ ก็เป็นความจริงที่ควรเข้าใจ เพราะมีจริงแม้ในขณะที่ไม่ได้โกรธ ก็เป็นความจริงอีกอย่างหนึ่งที่ควรจะเข้าใจ เพราะก็มีจริง หรือแม้ในขณะที่ระงับความโกรธได้ ก็เป็นความจริงอีกหนึ่งขณะ ซึ่งไม่ใช่ในขณะที่โกรธเป็นสิ่งที่ควรรู้ ควรเข้าใจ เพราะมีจริงๆ

ทุกขณะที่กล่าวไปแล้วนั้น เป็นความจริง ไม่ต้องรอให้ถึงเวลามีใครมายั่วโมโห ก็มีความจริง ความจริงในภาษาบาลี ก็คือคำว่า ธมฺม (ธรรมะ) ด้วยเหตุนี้ การศึกษาความจริงที่มีในชีวิตประจำวันโดยปกติ ก็คือ การศึกษาธรรมะ นั่นเองครับ แต่ต้องอาศัยการฟังพระธรรมและการศึกษาพระธรรมก่อน จึงจะรู้ว่าความจริงที่เป็นสัจจธรรมเป็นอย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 29 เม.ย. 2552

รู้ก่อน...ว่า...โมโหแล้วใจน่ะ...เป็นอกุศลแล้ว บังคับไม่ได้.!ไม่ว่าจะมีคนยั่ว หรือ ไม่มีคนยั่วแต่ที่พอจะเป็นไปได้ คือ ระวัง กาย วาจา.......

เป็นผลจากกรรมเก่าของเราเองค่ะควรระมัดระวังที่จะไม่สร้างกรรมใหม่...ให้ต้องมารับผลเช่นนี้อีกเพราะผลของกรรมที่สะสมมาในอดีต ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ก็มากอยู่แล้ว...และจะต้องให้ผลด้วย...ถ้าถึงเวลา.

พระพุทธศาสนา สอนให้เข้าใจเรื่อง กฏแห่งกรรมถ้าเราศึกษา และ เริ่มเข้าใจ...ความสงสัยในเรื่องต่างๆ จะค่อยๆ น้อยลงๆ ........และสิ่งที่สำคัญแห่งพระธรรมเทศนาทั้งหมดก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน.

"สติ จำปรารถนาในที่ทั้งปวง""ความไม่ประประมาท คือ ความไม่ไปปราศจากสติ"

ลองอ่านเพิ่มเติมจากกระทู้นี้นะคะ

พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด [พระปัจฉิมวาจา]

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 322

พระปัจฉิมวาจา

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไป เป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. นี้เป็นพระปัจฉิมวาจา ของพระตถาคต. ข้อความจากอรรถกถา

...บทว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ความว่า จงยังกิจทั้งปวง ให้สำเร็จด้วยความไม่ไปปราศจากสติ. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรทมที่เตียงปรินิพพาน ประทาน พระโอวาท ที่ประทานมา ๔๕ พรรษา รวมลงในบท คือ ความไม่ประมาทอย่างเดียวเท่านั้น.

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
tanakase
วันที่ 30 เม.ย. 2552

ปุถุชนอย่างเราจะไม่โกรธก็คงไม่มีทาง แต่ขณะโกรธนั้นก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่เป็น โทสะแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันโทสะก็สะสมสืบต่ออีกในชวนะ และ จะเป็นอุปนิสัยสืบต่อไป ข้าพเจ้าว่าไม่คุ้มเลยค่ะ มาฟังพระธรรมให้หายดีกว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
จิ้งจอกเก้าหาง
วันที่ 30 เม.ย. 2552

จาก จขกท (เจ้าของกระทู้)

จากที่อ่านๆ มา เป็นข้อความที่ดีแต่ทำยาก วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินหนีมั้ง ผมว่า

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
happyindy
วันที่ 30 เม.ย. 2552

หูย... คุณจิ้งจอกเก้าหาง คะ จะมาล้อกันเล่นเป็นมุขฮาๆ ก็ไม่บอกกันบ้าง

จาก จขกท (เจ้าของกระทู้) จากที่อ่านๆ มา เป็นข้อความที่ดีแต่ทำยาก วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินหนีมั้ง ผมว่า

ถูกต้องนะค้า... แต่ว่า ถูกนิดเดียว ที่เดินหนีไปน่ะ หนีได้เฉพาะสีสันที่คิดว่าเป็นคนที่ยั่วโมโห ครั้ง สองครั้ง คงพอเดินหนีได้มั้งคะ

แล้วถ้าเจอบ่อยๆ ล่ะ ไม่คิดจะสู้บ้างเหรอคะ?????

สู้กับอกุศลของตนเองที่เป็นต้นเหตุของความโกรธไงล่ะ เพราะการสู้ด้วยความเข้าใจถูกนี้ จะทำให้ไม่ต้องเดินหนีแบบไม่รู้จบ เป็นการรบที่ชนะเด็ดขาด แน่นอนว่ายากและอาศัยเวลานาน จอมยุทธ์ผู้เก่งกาจที่ไหนจะสำเร็จวิชาได้เพียงวันเดียวกันเล่า

มาลองฟังธรรม ศึกษาธรรม ดูมั้ยละคะ จะได้รู้ว่า เดินหนี กับ สู้ด้วยปัญญา อย่างไหนจะสุดยอดวิชากว่ากัน

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
paderm
วันที่ 30 เม.ย. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ทุกอย่างแม้กุศลธรรมก็ต้องอาศัยการอบรม สะสมทีละเล็กละน้อยจนมีกำลังโดยการฟังพระธรรมที่ถูกต้องอันเป็นปัจจัยให้กุศลธรรมเจริญยิ่งขึ้น การไม่เริ่มดีกว่าการเริ่มต้นผิด การเริ่มที่ถูก เหตุถูก ผลย่อมถูก การแก้ไข การละกิเลส ก็ต้องเริ่มจากเหตุที่ถูกคือการฟังพระธรรม

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
พุทธรักษา
วันที่ 30 เม.ย. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12083 ความคิดเห็นที่ 10 โดย จิ้งจอกเก้าหาง

จาก จขกท (เจ้าของกระทู้)

จากที่อ่านๆ มา เป็นข้อความที่ดีแต่ทำยาก วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินหนีมั้ง ผมว่า

ยากจริงๆ ค่ะ ที่จะไม่โกรธเลย...เวลามีคนมายั่วโมโห.การเดินหนีเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า......ในกรณีที่ทำได้แต่ไม่ได้หมายความว่า...เราจะเดินหนีได้ทุกครั้ง.แล้วถ้าอยู่ในสถานการณ์...ที่เดินหนีไม่ได้คุณจะมีทางออกให้ตัวเองอย่างไร..........?.

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรา "รู้ทุกข์" ไม่ใช่ "ทนทุกข์"...ไม่ใช่ "หนีทุกข์"ถ้าเรา "ไม่รู้ทุกข์" เราก็ "ดับทุกข์" ไม่ได้.และทรงแสดง "หนทางเดียว" ที่ "ดับทุกข์" ได้จริงๆ คือ "การเจริญสติปัฏฐาน" นั่นเอง.เวลาที่มีความทุกข์...ไม่มีใครชอบความโกรธ ความเศร้า ฯลฯ ..ไม่มีใครชอบแน่นอน.แต่ในชีวิตประจำวันนั้นเราบังคับบัญชาเหตุการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปอย่างใจไม่ได้.

เราหลีกเลี่ยงได้ก็จริง เช่น เดินเลี่ยงไป...ไม่ทะเลาะด้วยแต่เราหลีกเลี่ยงตลอดไป...ไม่ได้ แน่นอน.การรักษาจิต โดยการเจริญสติปัฏฐานเป็นประโยชน์ในทุกสถานการณ์ถ้าหาก "เข้าใจ"เรื่อง "การเจริญสติปัฏฐาน" จริงๆ และที่สำคัญ การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่เกิดได้ง่ายๆ โดย ปราศจากการศึกษา จนเป็นความเข้าใจที่มั่นคง และมีการอบรม จนมีความชำนาญ.

คำว่า "รักษาจิต".......มีความละเอียดที่ควรเข้าใจดังข้อความบางตอน จาก บ้านธัมมะ...ที่แสดงไว้ว่า.

อย่าลืม....สัจญาณ.! ข้อความบางตอนมีว่า ... การรักษาจิต ... ไม่ใช่ "ตัวเรา" จะรักษาแต่ต้องเป็น "ปัญญา" ที่มีความเห็นถูกในมรรค (หนทางดับทุกข์)

เพราะว่า เรื่องของอริยสัจจ์สี่ จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสัจจญาณ สัจจญาณ คือ ความรู้จริงๆ ที่มั่นคง ในอริยสัจจ์สี่ ว่า หนทางนี้ คืออย่างนี้

ลักษณะของสภาพธรรม...ปรากฎอย่างนี้แข็งอย่างนี้ เสียงอย่างนี้ สัมปชัญญะ คืออย่างนี้ ฯลฯ คือ เพียงระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเกิดปรากฎ แล้วหมดไป

ถ้ามีความเป็น "ตัวตน" (เกิด) แทรกคั่นก็มีการที่จะ "พยายามละ" (ซึ่งไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน) (ต้อง) มีความมั่นคงในสัจจญาณ ว่า ต้องเป็นสภาพธรรม ที่กำลังปรากฎ ในขณะนี้.

(จึงจะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน)

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
hadezz
วันที่ 1 พ.ค. 2552

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกท่านค่ะ

ดิฉันก็มีเรื่องเล่าอยู่เหมือนกันคือเรื่อง ของชอบกับของไม่ชอบ

ข้างบ้านเป็นตัดผมชายภายในมีกระจกติดเครื่องปรับอาการเย็นสบาย ลูกค้าชายมารอรับบริการตัดของระหว่างรอคิว สูบบุหรี่ควันคลุ้งไปหมดเลย ร้านค้าดิฉันอยู่ติดกันเลยได้รับควันบุหรี่ไปด้วย ดูเหมือนคนสูบจะไม่ใส่ใครรอบข้าง ทำอย่างไรดีหล่ะจะเดินหนีก็ไม่ได้ จะต่อว่าหรือห้ามไม่ได้ ก็ต้องต่อว่าทุกคนที่เข้ามาตัดชายก็ต้องสูบบุหรี่ แม้แต่ช่างตัดผมก็สูบบุหรี่

ดิฉันตัดสินใจซื้อพัดลมเพิ่มอีกหนึ่งเครื่อง เวลามีคนมารอตัดผมทีก็สูบทีดิฉันก็เปิดพัดลมบ้าง แล้วคนสูบบุหรี่ก็สำลักควันบุหรี่ของตัวเองสิค่ะ เจ้าของร้านตัดผมเข้าโรงพยาบาลเพราะโรคปอดจากควันบุหรี่ ต้องทำการผ่าตัดเจาะคอให้อาหารเหลวทางสายยาง ผ่าตัดสามครั้งนอนรักษาตัวอยู่เดือนกว่า โอนกิจการให้ทายาทดำเนินการต่อไป

เจ้าของร้านรุ่นที่สอง เขาก็เป็นชายชาตรีได้ไม่เห็นต้องพึ่งพาบุหรี่เลย ปัญหาทุกปัญหามีทางแก้...เราต้องแก้ด้วยปัญญา อย่าใช้อารมณ์ เพราะชีวิตประจำวันต้องเจอกับของชอบหรือไม่ชอบเป็นธรรมดาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
จิ้งจอกเก้าหาง
วันที่ 1 พ.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12083 ความคิดเห็นที่ 13 โดย พุทธรักษา

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12083 ความคิดเห็นที่ 10 โดย จิ้งจอกเก้าหาง

จาก จขกท (เจ้าของกระทู้)

จากที่อ่านๆ มา เป็นข้อความที่ดีแต่ทำยาก วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินหนีมั้ง ผมว่า

ยากจริงๆ ค่ะ ที่จะไม่โกรธเลย...เวลามีคนมายั่วโมโห.การเดินหนีเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า......ในกรณีที่ทำได้แต่ไม่ได้หมายความว่า...เราจะเดินหนีได้ทุกครั้ง.แล้วถ้าอยู่ในสถานการณ์...ที่เดินหนีไม่ได้คุณจะมีทางออกให้ตัวเองอย่างไร..........?.

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรา "รู้ทุกข์" ไม่ใช่ "ทนทุกข์"...ไม่ใช่ "หนีทุกข์"ถ้าเรา "ไม่รู้ทุกข์" เราก็ "ดับทุกข์" ไม่ได้.และทรงแสดง "หนทางเดียว" ที่ "ดับทุกข์" ได้จริงๆ คือ "การเจริญสติปัฏฐาน" นั่นเอง.เวลาที่มีความทุกข์...ไม่มีใครชอบความโกรธ ความเศร้า ฯลฯ ..ไม่มีใครชอบแน่นอน.แต่ในชีวิตประจำวันนั้นเราบังคับบัญชาเหตุการณ์ต่างๆ ให้เป็นไปอย่างใจไม่ได้.

เราหลีกเลี่ยงได้ก็จริง เช่น เดินเลี่ยงไป...ไม่ทะเลาะด้วยแต่เราหลีกเลี่ยงตลอดไป...ไม่ได้ แน่นอน.การรักษาจิต โดยการเจริญสติปัฏฐานเป็นประโยชน์ในทุกสถานการณ์ถ้าหาก "เข้าใจ"เรื่อง "การเจริญสติปัฏฐาน" จริงๆ และที่สำคัญ การเจริญสติปัฏฐาน ไม่ใช่เกิดได้ง่ายๆ โดย ปราศจากการศึกษา จนเป็นความเข้าใจที่มั่นคง และมีการอบรม จนมีความชำนาญ.

คำว่า "รักษาจิต".......มีความละเอียดที่ควรเข้าใจดังข้อความบางตอน จาก บ้านธัมมะ...ที่แสดงไว้ว่า.

อย่าลืม....สัจญาณ.! ข้อความบางตอนมีว่า ... การรักษาจิต ... ไม่ใช่ "ตัวเรา" จะรักษาแต่ต้องเป็น "ปัญญา" ที่มีความเห็นถูกในมรรค (หนทางดับทุกข์)

เพราะว่า เรื่องของอริยสัจจ์สี่ จะเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าไม่มีสัจจญาณ สัจจญาณ คือ ความรู้จริงๆ ที่มั่นคง ในอริยสัจจ์สี่ ว่า หนทางนี้ คืออย่างนี้

ลักษณะของสภาพธรรม...ปรากฎอย่างนี้แข็งอย่างนี้ เสียงอย่างนี้ สัมปชัญญะ คืออย่างนี้ ฯลฯ คือ เพียงระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเกิดปรากฎ แล้วหมดไป

ถ้ามีความเป็น "ตัวตน" (เกิด) แทรกคั่นก็มีการที่จะ "พยายามละ" (ซึ่งไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน) (ต้อง) มีความมั่นคงในสัจจญาณ ว่า ต้องเป็นสภาพธรรม ที่กำลังปรากฎ ในขณะนี้.

(จึงจะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน)


ก็คงจะอย่างที่คุณพูดมั้ง

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
จิ้งจอกเก้าหาง
วันที่ 1 พ.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12083 ความคิดเห็นที่ 11 โดย happyindy

หูย... คุณจิ้งจอกเก้าหาง คะ จะมาล้อกันเล่นเป็นมุขฮาๆ ก็ไม่บอกกันบ้าง

จาก จขกท (เจ้าของกระทู้) จากที่อ่านๆ มา เป็นข้อความที่ดีแต่ทำยาก วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินหนีมั้ง ผมว่า

ถูกต้องนะค้า... แต่ว่า ถูกนิดเดียว ที่เดินหนีไปน่ะ หนีได้เฉพาะสีสันที่คิดว่าเป็นคนที่ยั่วโมโห ครั้ง สองครั้ง คงพอเดินหนีได้มั้งคะ

แล้วถ้าเจอบ่อยๆ ล่ะ ไม่คิดจะสู้บ้างเหรอคะ?????

สู้กับอกุศลของตนเองที่เป็นต้นเหตุของความโกรธไงล่ะ เพราะการสู้ด้วยความเข้าใจถูกนี้ จะทำให้ไม่ต้องเดินหนีแบบไม่รู้จบ เป็นการรบที่ชนะเด็ดขาด แน่นอนว่ายากและอาศัยเวลานาน จอมยุทธ์ผู้เก่งกาจที่ไหนจะสำเร็จวิชาได้เพียงวันเดียวกันเล่า

มาลองฟังธรรม ศึกษาธรรม ดูมั้ยละคะ จะได้รู้ว่า เดินหนี กับ สู้ด้วยปัญญา อย่างไหนจะสุดยอดวิชากว่ากัน

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ


ดีใจครับที่ทำให้คุณขำได้ แต่ผมว่า คุณคงทำแบบผมเหมือนกันถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบนั้นแต่คุณเขียนให้สวยงามเท่านั้นเองว่าคุณจะไม่ทำอย่างนั้น จริงหรือไม่ "คุณช่วยตอบตัวเองก็แล้วกันครับ"

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
happyindy
วันที่ 1 พ.ค. 2552

งั้นขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัว อย่างเป็นทางการ นะคะ คุณจิ้งจอกเก้าหาง

เพราะคุณถามเหมือนต้องการรู้จริงๆ ทุกคนก็พยายามอธิบาย อินดี้ขออนุโมทนาทุกท่านเหล่านั้น แต่คุณตอบมาเหมือนเล่นทายปัญหาเชาวน์...ว่า วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินหนีมั้ง ผมว่า อินดี้ก็เลยขำ ขออภัยนะคะ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น

และ ขณะนั้น คิดว่าคุณล้อเล่นจริงๆ ที่สำคัญ ไม่ได้เขียนให้สวยงามหรอกค่ะ อินดี้เป็นจอมโทสะ จึงรู้ว่าโทษนั้นรุนแรงแค่ไหน แต่เพราะชีวิตจริงประจำวัน มันมีปัญหาทั้งที่เดินหนีได้ และเดินหนีไม่ได้ อินดี้จึงต้องแก้ไขที่ตนเอง ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น

ถ้าไม่ระมัดระวังในกำลังของโทสะที่มีโทษมากของตนเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ค่ะ อินดี้เคยปุบปับลุกออกจากโต๊ะประชุมโดยไม่พูดอะไร เพราะได้ยินเสียงที่น่าโมโห เพียงเพื่อจัดหนังสือที่เป็นระเบียบดีแล้วตั้งหนึ่งบนโต๊ะติดกัน แล้ววางลงที่เดิม กลับมานั่งประชุมต่อ โดยไม่พูดอะไรอีกเหมือนกัน หน้าที่คือหน้าที่ ยังไม่จบก็ต้องนั่งประชุมต่อไป นั่นเพราะอยู่ในสถานการณ์ที่เดินหนีไม่ได้ใช่มั้ย

คำตอบคือ ใช่

แต่เพราะรู้จักกำลังโทสะของตนเองจึงต้องแก้ไขที่ตนเองเดี๋ยวนั้นทันที ใครจะโชคดี สามารถเดินหนีได้ทุกครั้งไปล่ะคะ สภาพธรรมเลือกไม่ได้ ว่าจะโกรธหรือไม่โกรธ เดินหนีหรือไม่เดินหนี แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ใส่ใจที่จะเรียนรู้ถึงคุณหรือโทษของมัน เพื่อขัดเกลาตนเอง นี่เป็นเรื่องที่อบรมเจริญขึ้นได้ค่ะ

และถ้าคุณอ่านโดยละเอียด อินดี้บอกแล้วว่า

สู้กับอกุศลของตนเองที่เป็นต้นเหตุของความโกรธไงล่ะ เพราะการสู้ด้วยความเข้าใจถูกนี้ จะทำให้ไม่ต้องเดินหนีแบบไม่รู้จบ เป็นการรบที่ชนะเด็ดขาด แน่นอนว่ายากและอาศัยเวลานาน

เพราะเหตุยังมีอยู่ ยังไงๆ ความโกรธ ก็ยังต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอนค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
suwit02
วันที่ 1 พ.ค. 2552

ที่นี่น่ารื่นรมย์

ผมเห็นว่า ตอนที่เราเริ่มจะโกรธ หรือ กำลังโกรธอยู่ คงจะแก้ไขได้ยาก เว้นแต่จะเกิดสติ หรือ สติปัฏฐาน แต่ถ้าเราพิจารณาเนืองๆ ถึงโทษของโทสะ ก็อาจทำให้โทสะเบาบางลงได้บ้าง

ขอเชิญอ่านกระทู้

โกธนาสูตร

ผู้มัวเมาเพราะความโกรธ ย่อมถึงความไม่มียศ ญาติมิตร และสหาย ย่อมเว้นคนโกรธเสียห่างไกล คนผู้โกรธย่อมไม่รู้จักความเจริญ ทำจิตให้กำเริบ ภัยที่เกิดมาจากภายในนั่น คนผู้โกรธย่อมไม่รู้สึก คนโกรธย่อมไม่รู้อรรถ ไม่เห็นธรรม ความโกรธย่อมครอบงำนรชนในขณะใด ความมืดตื้อย่อมมีในขณะนั้น คนผู้โกรธ ย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยาก เหมือนทำได้ง่าย ภายหลังเมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อนเหมือนถูกไฟไหม้

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
พุทธรักษา
วันที่ 2 พ.ค. 2552

ความโกรธ ... ย่อมครอบงำนรชน ... ในขณะใด ความมืดตื้อ ... ย่อมมี ในขณะนั้น คนผู้โกรธ ย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยาก เหมือนทำได้ง่าย ภายหลัง ... เมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน ... เหมือนถูกไฟไหม้

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
จิ้งจอกเก้าหาง
วันที่ 2 พ.ค. 2552

อ้างอิงจาก : หัวข้อ 12083 ความคิดเห็นที่ 17 โดย happyindy

งั้นขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัว อย่างเป็นทางการ นะคะ คุณจิ้งจอกเก้าหาง

เพราะคุณถามเหมือนต้องการรู้จริงๆ ทุกคนก็พยายามอธิบาย อินดี้ขออนุโมทนาทุกท่านเหล่านั้น แต่คุณตอบมาเหมือนเล่นทายปัญหาเชาวน์...ว่า วิธีที่ง่ายที่สุดคือ เดินหนีมั้ง ผมว่า อินดี้ก็เลยขำ ขออภัยนะคะ ไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น

และ ขณะนั้น คิดว่าคุณล้อเล่นจริงๆ ที่สำคัญ ไม่ได้เขียนให้สวยงามหรอกค่ะ อินดี้เป็นจอมโทสะ จึงรู้ว่าโทษนั้นรุนแรงแค่ไหน แต่เพราะชีวิตจริงประจำวัน มันมีปัญหาทั้งที่เดินหนีได้ และเดินหนีไม่ได้ อินดี้จึงต้องแก้ไขที่ตนเอง ไม่ใช่ไปเปลี่ยนแปลงคนอื่น

ถ้าไม่ระมัดระวังในกำลังของโทสะที่มีโทษมากของตนเอง ใครก็ช่วยไม่ได้ค่ะ อินดี้เคยปุบปับลุกออกจากโต๊ะประชุมโดยไม่พูดอะไร เพราะได้ยินเสียงที่น่าโมโห เพียงเพื่อจัดหนังสือที่เป็นระเบียบดีแล้วตั้งหนึ่งบนโต๊ะติดกัน แล้ววางลงที่เดิม กลับมานั่งประชุมต่อ โดยไม่พูดอะไรอีกเหมือนกัน หน้าที่คือหน้าที่ ยังไม่จบก็ต้องนั่งประชุมต่อไป นั่นเพราะอยู่ในสถานการณ์ที่เดินหนีไม่ได้ใช่มั้ย

คำตอบคือ ใช่

แต่เพราะรู้จักกำลังโทสะของตนเองจึงต้องแก้ไขที่ตนเองเดี๋ยวนั้นทันที ใครจะโชคดี สามารถเดินหนีได้ทุกครั้งไปล่ะคะ สภาพธรรมเลือกไม่ได้ ว่าจะโกรธหรือไม่โกรธ เดินหนีหรือไม่เดินหนี แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ใส่ใจที่จะเรียนรู้ถึงคุณหรือโทษของมัน เพื่อขัดเกลาตนเอง นี่เป็นเรื่องที่อบรมเจริญขึ้นได้ค่ะ

และถ้าคุณอ่านโดยละเอียด อินดี้บอกแล้วว่า

สู้กับอกุศลของตนเองที่เป็นต้นเหตุของความโกรธไงล่ะ เพราะการสู้ด้วยความเข้าใจถูกนี้ จะทำให้ไม่ต้องเดินหนีแบบไม่รู้จบ เป็นการรบที่ชนะเด็ดขาด แน่นอนว่ายากและอาศัยเวลานาน

เพราะเหตุยังมีอยู่ ยังไงๆ ความโกรธ ก็ยังต้องเกิดขึ้นอีกแน่นอนค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ


ผมรู้ว่าทุกคนตอบตามตำรา แต่ผมเขียนบอกไว้ว่าคงไม่มีใครทำตามตำราได้โดยที่ไม่ต้องฝึกหรอกครับ หรือว่าทุกคนทำได้ ยกเว้นผมก็ว่าไปอย่างโนะ

ถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ ทุกๆ คน

(สำหรับผมถ้าผมเป็นจิ้งจอกเก้าหางจริงๆ ผมจะถล่มหมู่บ้านมันเลย อันนี้ผมล้อเล่นนะครับ)

แบบว่าผมไม่ได้ทำงานแบบต้องประชุมนี่ครับ แต่ก็จริงถ้าเดินหนีไม่ได้ผมก็จะสูดหายใจเข้าลึกๆ และไม่สนใจคำพูดที่ทำให้ผมไม่สบายใจนี่ถือว่าตรงตามตำรารึปล่าว เพราะคำพูดต่างๆ มันไร้สาระหมดเลยจะเก็บไว้ให้ไม่สบายใจทำไม

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
wannee.s
วันที่ 2 พ.ค. 2552

ถ้าเป็นผู้มีปกติอบรมกุศลขั้นเจริญเมตตาบ่อยๆ สติก็เกิดได้คิดถึงสัตว์ทั้งหลายมีกรรม เป็นของๆ ตน ก็จะทำให้คลายความโกรธลงได้บ้าง ที่สำคัญรู้ว่าโทสะเป็นธรรมอย่าง หนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคล เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 23  
 
ajarnkruo
วันที่ 2 พ.ค. 2552

ควรศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงเพราะพระธรรมจะอนุเคราะห์ให้เรา...ได้เริ่มมองเห็นความจริงที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เป็นความจริงที่ปรากฏกับแต่ละชีวิตอย่างวิจิตรต่างๆ กันในแต่ละวัน

แต่เรามองข้าม...เพราะเรามองไม่เห็นถึงความลึกซึ้งของความจริงนี้ เป็นสิ่งใกล้ตัวที่มีทุกวัน...แต่ยากเกินกำลังที่เราจะคิดค้นขึ้นเองได้ต้องอาศัยพระพุทธคุณอันมากมายมหาศาลของพระองค์...เราถึงได้รู้ความจริงนี้ ถ้าเราได้ศึกษาพระธรรมจนเกิดความเข้าใจของตนเองอย่างถูกต้องจริงๆ เราก็จะเข้าใจถูกว่า...พระธรรมไม่ใช่เพียงแต่ตัวหนังสือในตำราแต่ว่าเป็นสิ่งประเสริฐสูงสุด...ที่สาวกผู้ศึกษาจนเกิดความเข้าใจแล้ว สามารถที่จะน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติตามได้ ด้วยการขัดเกลาอกุศล และเจริญกุศลทุกประการครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 24  
 
เมตตา
วันที่ 2 พ.ค. 2552

อยากทราบวิธีการระงับความโกรธตอนมีคนมา ยั่วโมโห ครับ

ประโยชน์จริงๆ ของการศึกษาพระธรรม คือ ให้เข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ว่าเป็นจริงอย่างนั้น ฟังจนกว่าจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฎว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา สภาพธรรมที่เกิดขึ้นไม่ว่าโลภะ หรือโทสะ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิดจึงเกิดขึ้น ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครได้ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่ใช่เราเลย....

แต่ ผู้ที่จะไม่โกรธอีกเลยต้องถึงความเป็นพระอนาคามี พระอรหันต์ ส่วนปุถุชนอย่างพวก เรานั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยให้โกรธ ความโกรธก็เกิดขึ้นจึงควรฟังพระธรรมให้เข้าใจอบรมเจริญปัญญาเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฎว่าเป็นเพียงธรรมไม่ใช่เรา ในชีวิต ประจำวันอกุศลเกิดมากกว่ากุศลเพราะกิเลสที่สะสมมาเนิ่นนาน จึงต้องมีความอดทน

คืออดทน อดกลั้นต่ออกุศลจิตที่เกิดขึ้นโดยไม่โต้ตอบตอนมีคนมา ยั่วโมโห แต่กลับคิดเมตตาต่อผู้มายั่วเพราะเขาต้องได้รับทุกข์จากสิ่งที่เขาทำไว้แน่นอนค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 25  
 
opanayigo
วันที่ 4 พ.ค. 2552

อนุโมทนาในกุศลเจตนาทุกท่าน

เข้าใจ...การถามของเจ้าของกระทู้นะคะ เป็นเรื่องที่เวลาพูดๆ ง่าย เวลาเกิดสถานการณ์จริง ทำยาก ถูกค่ะ เพราะ เราพยายามไปทำเรา จึงเหนื่อยและท้อ เมื่อมัน ทำไม่ได้

แต่....หนทางมีอยู่

ท่านผู้รู้ บอกว่า "เข้าใจ" ได้ (ตามกำลัง) เหมือนนักกีฬา หากกำลังน้อย อ่อนซ้อม...ผลที่ได้คือ แพ้ จะชนะ (กิเลสในใจ) ได้ก็ต้อง หมั่นซ้อม เก็บตัวนักกีฬาก่อนก็ได้ (เลี่ยงวัตถุที่ทำให้โกรธ เมื่อประมาณกำลังแล้ว) แต่อย่าลืมว่า นักกีฬา ต้องลงสนามจริง เพราะ โกรธ มีจริงเป็นสาธารณะกับทุกคน สิ่งที่ปรากฎเป็น "สื่อนำ" ให้กิเลส ไหลออกเนืองๆ

เอาใจช่วยค่ะ ...

ขอนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย ครูอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 26  
 
nida
วันที่ 29 ธ.ค. 2552

พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ รู้ทุกข์

ไม่ใช่ให้หนีทุกข์ นะ ทุกข์อยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ตัวเรานั้นแหละ ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็คือ กายและใจ นั้นเอง ...ถ้าหนีทุกข์แล้วเมื่อไรจะเจอทุกข์ล่ะ

ถ้าหนีตัวเอง แล้วเมื่อไรจะเจอตัวเองสักทีล่ะ ........ ผมเองโง่มาตั้งนานหลายปีกว่าจะเจอทุกข์ (กาย-ใจของตน) มัวแต่ไปเจอทุกข์ของคนอื่นเขาหมดเพราะไม่ได้ดูตนเองเลย ไปหลงดูแต่คนอื่น หมด แท้จริงแล้วถ้าระลึกดูความรู้สึกกาย รู้สึกใจไปเรื่อยๆ โดยจิตเป็นกลางคือไม่ต้องแก้ไข ไม่ต้องเพิ่มเติม ไม่ต้องแทรกแซงสภาวธรรมเขา ให้ดูไปแบบ รู้แล้วจบที่ตรงรู้ จึงจะรู้จริงแบบจริง ส่วนใหญ่ จะรู้แบบจริงแต่ไม่จริง เพราะว่า ...... รู้แล้วไม่จบที่ตรงรู้ คือรู้แล้วมีตนไปแทรกแซง ไปแก้ไข (ความโกรธ) ไปวิภาควิจาร์ณ เพราะ จำ และ คิด

" เมื่อไรรู้เมื่อนั้นไม่มีคิด เมื่อไรคิดเมื่อนั้นไม่มีรู้ "

สภาวธรรมนั้นเกิดดับเร็วมากๆ ทำอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากระลึกรู้เท่านั้น คือ รู้แต่ไม่รู้อะไร แล้วสัญญาก็จำสภาวะนั้นว่าเป็น โกรธ เพราะจำอดีตของนามธรรมที่ดับไปแล้วส่วนมาก แต่ถ้า รู้แล้วรู้ว่าเป็นอะไร นั้นเป็นบัญญัติไปแล้วครับ

ขออนุโมทนาทุกท่านครับ

เพราะผมไม่เคยขาดการฟังและ พิจารณาระลึกตามรู้สึกกายรู้สึกใจนั้นเองครับ โดยไม่หวังปล่อยสภาวธรรมเขาทำกิจของเขาเองวันหนึ่งๆ แบบสะบายๆ เล่นๆ ไม่เผลอหลง ไม่เพ่ง ไปบ่อยๆ เนื่องๆ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 27  
 
peem
วันที่ 22 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

เฮ้อแต่เอาไม่ทันซักที สะสมอกุศลมามากจัง

ขออนุโมทนาอีกหลายๆ ครั้งค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ