ขันธ์ ๕ เป็นภาระ [ภารสูตรและอรรถกถา]
โปรดอ่านข้อความจากพระไตรปิฎกโดยตรง
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 58
ภารวรรคที่ ๓ ๑.
ภารสูตร
ว่าด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระ
[๔๙] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ
ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราจักแสดงภาระ ผู้แบกภาระ การถือภาระ และการวางภาระแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า ภาระ คืออุปาทานขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน คือ อุปาทานขันธ์ คือรูป อุปาทานขันธ์คือ เวทนา อุปาทานขันธ์ คือสัญญา อุปาทานขันธ์ คือ สังขาร และอุปาทานขันธ์ คือวิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาระ
[๕๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้แบกภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่าบุคคลบุคคลนี้นั้น คือ ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า ผู้แบกภาระ
[๕๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การถือภาระเป็นไฉน ตัณหานี้ใดนำให้เกิดภพใหม่ ประกอบด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิดเพลินมีปกติเพลิดเพลินยิ่งในภพหรืออารมณ์นั้นๆ ได้แก่กามตัณหา ภวตัณหาวิภวตัณหา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการถือภาระ
[๕๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็การวางภาระเป็นไฉน ความที่ ตัณหานั่นแล ดับไปด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ ความสละ ความสละคืนความพ้น ความไม่อาลัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าการวางภาระพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกในภายหลังว่า
[๕๓] ขันธ์ ๕ ชื่อว่าภาระแล และผู้แบกภาระคือบุคคล การถือภาระเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ในโลก การวางภาระเสียได้เป็นสุขบุคคลวางภาระหนักเสียได้แล้ว ไม่ถือภาระอื่น ถอนตัณหาพร้อมทั้งมูลรากแล้ว เป็นผู้หายหิว ดับรอบแล้วดังนี้
จบ ภารสูตรที่ ๑
[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 60
อรรถกถาภารสูตรที่ ๑ ภารวรรค
ภารสูตรที่ ๑
มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้. ปญฺจุปาทานกฺขนฺธาติสฺส วจนียํ ตัดเป็น ปญฺจุปาทานกฺขนฺขา อิติ อสฺส วจนียํ ความว่าเป็นข้อที่จะพึงตรัสอย่างนั้น
บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ภาโร ความว่า อุปาทานขันธ์ ๕ ท่านกล่าวว่าเป็นภาระ. ถามว่า ด้วยอรรถว่ากระไร? แก้ว่า ด้วยอรรถว่าเป็นภาระที่จะต้องบริหาร. จริงอยู่ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านั้น จำต้องบริหารด้วยการให้ยืน ให้เดิน ให้นั่ง ให้นอน ให้อาบน้ำแต่งตัว ให้เคี้ยว ให้กิน เป็นต้น จึงชื่อว่าเป็นภาระ (ของหนัก) เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่า ภาระเพราะอรรถว่าเป็นภาระจะต้องบริหาร
บทว่า เอวํนาโม ได้แก่มีชื่อเป็นต้นว่า ติสสะ ว่าทัตตะ
บทว่า เอวํโคตฺโต ได้แก่ มีโคตรเป็นต้นว่า กัจจายนโคตร วัจฉายนโคตร.ดังนั้น ทรงแสดงบุคคลที่สำเร็จเพียงโวหาร ให้ชื่อว่า ภารหาระ ผู้แบกภาระ จริงอยู่บุคคล ยกขันธภาระขึ้นในขณะปฏิสนธินั้นเองแล้วให้ขันธ์นี้ อาบ บริโภค นั่ง นอน บนเตียงและตั่ง ที่อ่อนนุ่มแล้วบริหาร ๑๐ ปีบ้าง ๒๐ ปีบ้าง ๓๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง จนตลอดชีวิตแล้วทิ้งไปในจุติขณะ ยึดเอาขันธ์อื่นในปฏิสนธิขณะอีก เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าผู้แบกภาระ
บทว่า โปโนพฺภวิกา ได้แก่ที่เกิดในภพใหม่
บทว่า นนฺทิราคสหคตา ได้แก่ ถึงความเป็นอันเดียวกันกับนันทิราคะนั่นเอง ในที่นี้ท่านประสงค์ว่าเกิดพร้อมกับความเป็นนันทิราคะนั้น.
บทว่า ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี ได้แก่ มีปกติยินดีในที่เกิดหรือในอารมณ์มีรูปเป็นต้นนั้นๆ . ในกามตัณหาเป็นต้น ความยินดีอันเป็นไปในกามคุณ ๕ ชื่อว่า กามตัณหา ความยินดี ในรูปภพและอรูปภพ ความติดอยู่ในฌาน ความยินดีที่เกิดพร้อมด้วยสัสสตทิฏฐิ นี้ชื่อว่า ภวตัณหา ความยินดีที่เกิดพร้อมกับอุจเฉททิฏฐิชื่อว่า วิภวตัณหา
บทว่า ภาราทานํ ได้แก่ การถือภาระ จริงอยู่บุคคลนี้ย่อมถือภาระด้วยตัณหา
บทว่า อเสสวิราคนิโรโธ เป็นต้น ทั้งหมดเป็นไวพจน์ของนิพพานนั้นเอง. จริงอยู่ ตัณหามาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมคลายความยินดีย่อมดับ ย่อมละขาด ย่อมสละคืน ย่อมหลุดพ้น โดยไม่มีส่วนเหลือก็ในพระนิพพานนี้ไม่มีอาลัยคือกาม หรืออาลัยคือทิฏฐิ ฉะนั้นพระนิพพานจึงได้ชื่อเหล่านี้
บทว่า สมูลํ ตณฺหํ ความว่า อวิชชาชื่อว่าเป็นมูลของตัณหา
บทว่า อพฺพุยฺห ได้แก่ ถอนตัณหานั้นพร้อมทั้งราก ด้วยอรหัตตมรรค
บทว่า นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ความว่า ผู้ออกจากตัณหาจะเรียกว่า ผู้ปรินิพพานแล้ว ก็ควรแล.
จบ อรรถกถาภารสูตรที่ ๑