เมื่อยังสงสัยอยู่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้อย่างไร
ในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สมุททวรรคที่ ๓ อุทายีสูตร (๓๐๐) มีข้อความว่า ...
สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์และท่านพระอุทายีอยู่ ณ โฆสิตารามใกล้พระนครโกสัมพี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น ท่านพระอุทายีออกจากที่พักผ่อนแล้วเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้ปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้งผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ...
ดูกร ท่านพระอานนท์ กายนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสบอก เปิดเผยประกาศแล้วโดยปริยายต่างๆ ว่าแม้เพราะเหตุนี้ กายนี้เป็นอนัตตา ดังนี้ ฉันใด แม้วิญญาณนี้ ท่านอาจจะบอกแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นว่า แม้เพราะเหตุนี้ วิญญาณก็เป็นอนัตตา ฉันนั้นหรือ
เมื่อยังไม่รู้แจ้งชัดในสภาพธรรม ก็ยังไม่หมดความสงสัย เมื่อยังสงสัยอยู่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้อย่างไร จะเข้าประตูไหน เพราะประตูที่ว่านี้หมายถึง ขณะที่โลกุตตรจิตจะเกิดขึ้นรู้แจ้งนิพพาน ก่อนที่โลกุตตรจิตจะเกิดนั้นกามาวจรจิตต้องเกิดก่อน แล้วแต่ว่ากามาวจรจิตนั้นมีสติปัฏฐานใดใน ๔ สติปัฏฐาน เป็นอารมณ์ แต่ไม่ใช่ว่าไม่รู้แจ้งชัดลักษณะของรูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ แล้วจะไปเข้าประตู คือ บรรลุอริยสัจจธรรม ประจักษ์ลักษณะของนิพพาน โดยนิพพานเป็นอารมณ์ได้ และกว่าจะเข้าใจได้ว่ากายนี้เป็นอนัตตา… แม้วิญญาณนี้ก็เป็นอนัตตา ก็ต้องบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ในขณะนี้ ที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังลิ้มรส กำลังรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิดนึก เพราะยากที่จะเข้าถึงอรรถและประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นอนัตตาได้
ดาวน์โหลดหนังสือ --> ปรมัตถธรรมสังเขป
จากข้อความข้างต้น หมายถึงว่าขณะที่สภาพธรรมมีการเกิดดับอยู่นั้น รวดเร็วจริงๆ แต่จิตพิจารณาแบบสโลว์ ได้ไหมคะว่ามีขณะนั้นมีสภาพธรรมที่มีธาตุที่เป็นสติปัฎฐานเกิดร่วมอยู่ตลอดทุกขณะด้วย ถูกไหมคะถ้าพิจารณาแบบนี้ นี่เป็นขั้นคิดพิจารณาใคร่ครวญดู แต่จิตจริงๆ ยังไม่รู้สภาพธรรมได้เร็วขนาดนั้น จะเกิดก็เป็นบางขั้นบางตอน และเป็นขั้นหยาบอยู่ เช่น เห็น ดูรู้ สุข ชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ อาการขยับ สัมผัส แต่ขณะนั้นก็รู้ว่ามีธาตุที่เป็นเจตสิก กับ จิตเกิดอยู่ แต่ไม่รู้หรอกค่ะว่าเป็นเจตสิกตัวไหนบ้างครบทุกตัว
ยกตัวอย่างที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวถึง ตา ที่มีสภาพธรรมที่เห็น โดยเปรียบเทียบกับว่าคนตาบอด มองไม่เห็น ...แต่มันช่างเป็นเรื่องที่วิเศษ สำหรับบุคคลที่ได้เห็นถ้าเราได้ตระหนักว่าเมื่อเราได้เห็นเรารู้คุณค่าของการได้เห็น ..คือมันต้องมีกระบวนการภายในของการเห็นกับภายนอกมาประมวลกันขึ้นเป็นเห็น แล้วจิตก็เกิดกระบวนการต่อไปถ้าคิด ก็ไม่จบ ในภาพที่ได้เห็น คงจะเป็นตรงนี้หรือเปล่าที่ทำให้เกิดการสะสมในจิตว่าเป็นกุศล หรืออกุศล ผิดหรือถูประการใด ขอท่านผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยนะคะ
กราบขอบคุณและขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ ๒
ในขั้นศึกษา เพียงเข้าใจตามที่ทรงแสดง ยังไม่สามารถรู้ความเกิดดับ หรือ เจตสิกประเภทต่างๆ ได้ และขณะที่สติปัฏฐานเริ่มระลึก ย่อมรู้สิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ส่วนรายละเอียดต่างๆ ไม่อยู่ในฐานะปัญญาระดับเราครับ