โดดเดี่ยวอยู่ในโลก...ตามลำพัง !
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาธรรมที่เขาเต่า ๑ - ๔ สิงหาคม ๒๕๓๗
ท่านอาจารย์ การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่การนึกถึง "เรื่องราว"แต่เป็น "ปัญญา" ที่ค่อยๆ "เข้าใจ" ใน "สิ่งที่ปรากฏ" และการที่จะค่อยๆ เข้าใจ ใน "สิ่งที่ปรากฏ"ต้องเริ่มจาก "การฟัง" จนกระทั่ง "เข้าใจ" เพราะฉะนั้น ต้องเริ่มจากการฟัง ให้เข้าใจจริงๆ เสียก่อน (ปัญญา) ความเข้าใจขั้นการฟัง สำคัญที่สุดเลย เมื่อเข้าใจขั้นการฟังจริงๆ แล้วความเข้าใจ "ลักษณะ" จริงๆ ของสภาพธรรมจึงจะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้น ความรู้ คือ "ปัญญา"จึงต้องเป็นไปตามลำดับขั้นข้ามขั้นไม่ได้
ปัญญา ขั้นฟัง คือ การฟัง "เรื่องราวของสภาพธรรม" ให้เข้าใจก่อน ขั้นสติเกิด คือ ระลึก ตรง "ลักษณะ" ของสภาพธรรมแล้ว ปัญญา รู้สภาพธรรมที่ปรากฏ สภาพธรรมที่ปรากฏ เป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น "ลักษณะ" เปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ความจริง ก็คือ "ตัวตน" ไม่มี มีแต่ "จิตของแต่ละคน" ที่กำลังรู้ สิ่งที่กำลังปรากฏ ทางใดทางหนึ่ง คือทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจไม่ปะปนกัน แล้วแต่ "เหตุปัจจัย" ว่า สภาพธรรมใด จะปรากฏ ในขณะนั้น
"สิ่งที่ปรากฏ" ปรากฏ ทีละขณะสั้นๆ สลับกัน แต่ละทางๆ ปรากฏเพียงขณะสั้นมาก แล้วก็ดับไปทันที "สิ่งที่ปรากฏ" มีทั้งนามธรรม คือ สภาพที่รู้และ รูปธรรม คือ สภาพที่ไม่รู้ รูปธรรม เกิดแล้วดับนามธรรม เกิดแล้วดับ แล้วก็เกิดสืบต่อกันไปเช่นนี้ เรื่อยๆ ถ้าไม่มีสภาพรู้ คือ "จิต" หรือ นามธรรม ที่เป็นสภาพรู้รูปธรรม ก็ไม่มีความสำคัญอะไรเลย เพราะฉะนั้น "ปัญญา" ที่จะต้องเจริญ เป็นอันดับแรก คือปัญญา ที่ รู้ว่า นามธรรม เป็นสภาพรู้ และ รูปธรรม ไม่ใช่สภาพรู้เพราะว่า ถ้ารู้จริงๆ ว่ามีแต่ นามธรรม และ รูปธรรม เท่านั้นแล้วจะมีเรา มีเขา มีสัตว์ บุคคล ตัวตน ได้อย่างไร
นี่คือ การรู้ "ความจริง" และยังรู้อีก ว่า ไม่มีอะไร ที่ยั่งยืนเพราะว่าทั้งนามธรรม และ รูปธรรม ล้วนแต่เกิดดับตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ขณะที่ "สติ" ระลึกได้คือ ขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏแล้วก็รู้ "เฉพาะ" สภาพธรรมที่กำลังปรากฏนั้น ทันทีสภาพธรรมใดก็ได้ ที่กำลังปรากฏนามธรรม หรือ รูปธรรม ใดก็ได้ ที่กำลังปรากฏ
แต่ "สติ" ที่เกิดกับ "จิต" นั้นเองที่ ทำกิจระลึกได้ ว่า เป็นนามธรรม หรือ รูปธรรมปรากฏทางไหน ทวารไหน และ รู้อารมณ์อะไร และที่สำคัญ ก็คือโลกทั้ง ๖ ทาง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ) เมื่อรู้ได้จริงๆ โดยการแยกขาดออกจากกัน ที่ละทางๆ ทีละลักษณะๆ จนกระทั่งชำนาญ รู้ทั่วแล้วก็จะทราบว่า ไม่มีความเป็นตัวตน คน สัตว์ ใดๆ เลย
ในพระไตรปิฎก ก็มีเพียงเท่านี้ คือ"โลกทั้ง ๖" .. "โลก" ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ แต่ ต้องอาศัยพระธรรมเทศนา ตลอด ๔๕ พรรษาเทศนาซ้ำๆ แล้วๆ เล่าๆ ที่เราใช้คำว่า "อนุสาสนี" เป็น "คำสอน" ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น "เรื่องเก่า" ที่พระองค์ทรงพร่ำสอนมาตลอด ๔๕ พรรษา
ถ้าหาก เข้าใจ "สติปัฏฐาน"เข้าใจ "สภาพธรรมที่ปรากฏ"เข้าใจ จริงๆ ว่า "โลก" มีเพียง ๖ ทาง เท่านั้น เข้าใจจริงๆ ว่า นี่คือสิ่งที่ "ปัญญา" ต้องรู้ก่อนแล้วก็ "เป็นพื้นฐาน" ที่จะทำให้ค่อยๆ มีการ "ระลึก" โดยสติเกิดจนกว่า "สติ" จะระลึกได้บ่อยๆ เนืองๆ แล้วค่อยๆ รู้ขึ้นๆ จนกว่า "ปัญญา" จะ "รู้ชัด" ได้จริงๆ นั่นเอง แต่การที่จะรู้มากรู้น้อยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ"กำลังของการสะสม"ของแต่ละคน เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะต้องมี"ความคิดที่แตกต่างกันไปตามการสะสม"หมายความว่าแต่ละคน ก็อยู่ในโลก คนเดียวคือ โลกแต่ละใบ ของและคน
หมายความว่า หลังจาก "จิต" ที่รู้ปรมัตถอารมณ์ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย คือ ทางปัญจทวารแล้วก็ เกิด "การนึกคิด" ต่อ ทางใจ คือ ทางมโนทวาร (การคิดนึก ที่แตกต่างกันได้) ปรมัตถ์อารมณ์ ที่ปรากฏนั้น ต้องเหมือนกันเพราะว่า ปรมัตถ์ ไม่เปลี่ยน "ลักษณะ" แต่ "ความนึกคิดทางใจ" นั้นแตกต่างกันไป "ตามการสะสม" ของแต่ละคน เพราะฉะนั้น เราจึงอยู่ใน "โลก" คนละโลกโลกคนละใบแต่เรารู้สึกเหมือนกับว่า เราอยู่ในโลกใบเดียวกัน เพราะอะไร
เพราะเรา "ไม่รู้" ว่า สิ่งที่ปรากฏ ปรากฏแก่คนแต่ละคน นั้นหมายความว่า "สิ่งที่ปรากฏ"นั้น ต้องปรากฏกับ โลกแต่ละโลก ของแต่ละคนๆ ไม่ว่าจะเป็น การเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส กระทบสัมผัสทางกาย และ การคิดนึกทางใจ แล้วยังปรากฏได้ เฉพาะทีละโลกๆ ทั้ง ๖ โลกใน "โลกแต่ละใบ" ของแต่ละคน อีกด้วย เพราะฉะนั้น "ความจริง" ก็คือ แต่ละคน "โดดเดี่ยว" อยู่ในโลกของตัวเอง ตามลำพัง แม้ในความคิดของเรา เสมือนมีคนมากมาย เพราะว่า เรามีความยึดมั่น ในความเป็นตัวตน
โลกของความเป็นจริง แสนจะ "โดดเดี่ยว"เพราะเมื่อ "สิ่งที่ปรากฏ"ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เกิดแล้ว ดับแล้ว "ความนึกคิด" ที่เกิดต่อทางใจ ก็คิดเป็น "เรื่องราว" ที่ไม่มีอยู่จริงๆ เหมือนหลอกตัวเอง "โดดเดี่ยว" เพราะว่า ความจริง คือ จิตขณะเดียว ที่รู้อารมณ์ต่างๆ เกิดขึ้น แล้วดับไปทันทีและไม่มี เรื่องราวจริงๆ อย่างที่คิด
เราสามารถที่จะอยู่ใน "สังสารวัฏฏ์" นี้ได้เพราะ "โลภะ" คือ ความติดข้อง "โลภะ" หลอกเรา ทำให้เรายึดติดใน "สิ่งต่างๆ " .. "สิ่งต่างๆ " ซึ่ง ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มี เมื่อรู้ว่า "สิ่งที่ยึดถือ" ไม่มีจริง และเมื่อสภาพธรรม ปรากฏแล้ว ดับไป ก็หมดไป ไม่เหลือเลย ดังนั้น ไม่เฉพาะ "คนอื่น" ที่ไม่มีอยู่ จริงๆ แม้แต่ "ตัวเราเอง" ก็ไม่มีอยู่ จริงๆ และถ้าไม่มี "ปัญญา" ที่รู้ "ความจริง" อย่างนี้ก็จะไม่มีทางที่จะไปถึง "พระนิพพาน" ได้เลย
"พระนิพพาน" คือ สภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ ในเมื่อเรายังมี "ความติดข้อง" กับ "สิ่งที่เกิดดับ" อยู่อย่างนี้ และ โดยเฉพาะ"ความติดข้องกับเรื่องราวที่เกิดจากความคิด" ซึ่งไม่ใช่ "ความจริง" ไม่ใช่ "ธรรมะ" เพราะว่า ไม่มีจริง แต่เราเข้าใจผิด ว่า มีจริง เราจึงอยู่ใน "โลก" ที่เสมือนอบอุ่น "โลก" ที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูง มิตรสหาย มากมาย แต่ ความเป็นจริง ก็คือเป็น "เรื่องราวที่เกิดจากความคิด"ทั้งหมดเลย เป็น "จิต" ที่คิดด้วย "โลภะ" คือ ความติดข้อง
... ขออนุโมทนา ...
(ขอขอบพระคุณผู้เอื้อเฟื้อรูปภาพค่ะ)
ความจริง ก็คือ ความจริงแม้ความจริงไม่ตรงตามความปรารถนา
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เมตตาบรรยายพระสัทธรรมอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย
ขอขอบคุณพุทธรักษา ค่ะ อ่านแล้วต้องอ่านอีกหลายๆ รอบ ค่ะ
โลกของความเป็นจริง แสนจะ "โดดเดี่ยว"
"ความนึกคิด" ที่เกิดต่อทางใจ ก็คิดเป็น "เรื่องราว" ที่ไม่มีอยู่จริงๆ เหมือนหลอกตัวเอง เราจึงอยู่ใน "โลก" ที่เสมือนอบอุ่น "โลก" ที่เต็มไปด้วยเพื่อนฝูง มิตรสหาย มากมาย
ขออนุโมทนาครับ
ได้รู้ความจริงแล้ว ใจหาย ครับ
... ไม่ต่างอะไรกับความฝัน ...
ค่ะกำลังหลับฝันหวาน มีคนมาปลุกให้ตื่น แล้วก็ไม่ยอมตื่น แต่ ยังอยากจะ "ฝัน" อยู่ร่ำไป